หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ธรรมปฏิบัติ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เทศน์ - ตอบปัญหาธรรม... 20-10-2525




  เรื่อง ธรรมปฏิบัติ โดย พระราชสังวรญาณ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

🙏🙏🙏

    วัดป่าสาละวัน จังหวัด นครราชสีมา

    วัดพุธที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๕  เวลา  ๑๔.๐๐ ๑๖.๐๐ น.

    ณ. ห้องประชุมการแพทย์ ชั้น ๔ ตึกกรมการแพทย์

                               https://www.youtube.com/watch?app=desktop&v=yaU923DAcS8

        ณ.โอกาสต่อไปนี้จะได้บรรยายธรรมะเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมเพราะในสมัยปัจจุบันนี้รู้สึกว่ามีผู้สนใจในการปฏิบัติธรรม เรื่องเกี่ยวกับการทำสมาธิภาวนามาก 

พระพุทธองค์ได้พิจารณาสภาวะธรรม หมายถึง กายกับใจ ของพระองค์เอง และพิจารณาความไม่เที่ยงความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนของสภาวะธรรมทั้งปวง จนพระองค์สามรถรู้ข้อเท็จจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปตามกฏธรรมชาติ กฏธรรมชาติที่จะพึงเป็นไปของสภาวะธรรมนั้น ก็คือความปรากฏการณ์ขึ้นในเบื้องต้น ทรงตัวอยู่ชั่วขณะหนึ่งในที่สุดต้องสลายตัว ในเมื่อสิ่งนั้นมีอันเป็นไปอยู่อย่างนั้น ใครจะพอใจก็ตาม ไม่พอใจก็ตาม จะห้ามก็ตามไม่ห้ามก็ตาม กฏธรรมชาติอันนี้ย่อมเป็นไปตามกฏของความเป็นจริง ใครจะคัดค้านไม่ได้ 


ทีนี้กฏธรรมาชาติที่เค๊าเป็นไป   ตามกฏความจริงของเค๊านั้น แล้วมันมาทำให้คนเราต้องเป็นทุกข์ได้อย่างไร ที่มาทำให้คนเราต้องเป็นทุกข์ได้ก็เพราะเหตุว่า เราไปฝืนกฏธรรมชาติ เพราะเรายังไม่รู้แจ้งเห็นจริง จึงไปนึกปรารถนาสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ ตามความต้องการ เช่น ความแก่ ใครก็ไม่ชอบ ความเจ็บใครก็ไม่ชอบ ความตายใครก็ไม่ชอบ ความวิบัติต่างๆ นานา ใครๆ ก็ไม่ชอบ แต่เสร็จแล้วเค๊าก็เป็นไป   ตามกฏธรรมชาติของเค๊า ในเมื่อเรายังมีความยึดมั่นถือมั่นด้วยอำนาจกิเลส ด้วยอุปาทาน เราจะไปหักห้ามสิ่งเหล่านั้น ไม่ให้เค๊าเป็นไปตามกฏธรรมชาติของเค๊านั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ ถ้าหากเราไปฝืนเมื่อไหร่ ความทุกข์ย่อมเกิดขึ้นเมื่อนั้น เช่น ความแก่เกิดขึ้นมา เราไม่อยากแก่ เราก็ทุกข์ ความเจ็บมาถึง เราไม่อยากเจ็บเราก็ทุกข์ หรือเจ็บแล้วอยากหาย หายไม่ทันใจเราก็ทุกข์ ยิ่งความตายเข้ามาถึงแล้ว เราก็ยิ่งทุกข์กันใหญ่ เพราะเรากลัวตาย ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเหตุว่าเราฝืนกฏของธรรมชาติ 


ทีนี้พระองค์มาพิจารณารู้ซึ้งเห็นจริงในกฏของธรรมชาติ จิตของพระองค์ยอมรับสภาพความเป็นจริงของกฏธรรมชาตินั้นๆ อย่างซึ้งถึงจิตถึงใจ จนไม่สามารถที่จะถอนมาเป็น ไม่ยอมรับได้ ที่เรียกว่ายอมรับอย่างจริงๆ แล้วไม่ยอมปฏิเสธอีกต่อไป พระองค์จึงได้บรรลุถึงซึ่งความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะความรู้จริงตามกฏของธรรมชาติ อันนี้เป็นเรื่องความเป็นมาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นในฐานะที่ท่านทั้งหลายก็เป็นผู้สนใจ 

ในการที่จะปฏิบัติธรรม พิจารณาธรรม ให้รู้แจ้งเห็นจริงตามกฏของธรรมชาติ อาตมะจึงจะนำหลักการ ในเบื้องต้นมาเสนอแนะพอเป็นแนวทางพิจารณา ตามอารักขกรรมฐาน ๔ คือมีพุทธานุสติ การระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า แล้วก็มีการเจริญเมตตา มีอสุภะกรรมฐาน การพิจารณากายให้เห็นเป็นของปฏิกูลน่าเกลียดโสโครก มรณะสติระลึกถึงความตาย คือพิจารณาความตายของคนอื่น สัตว์อื่น และของตนเอง อันนี้เป็นอารักขกรรมฐาน เป็นกรรมฐานที่พุทธศาสนิกชนผู้ซึ่งตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อรู้แจ้งเห็นจริงในธรรม ควรจะยึดถือเป็นหลักแห่งการปฏิบัติ พุทธานุสติ การระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าประการต้นนั้น ทำไมเราจึงระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า คำตอบก็คือว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระบรมศาสดาของเรา 

นอกจากจะเป็นพระบรมศาสดาของเราแล้ว พระองค์ยังเป็นบุคคลตัวอย่าง เป็นบุคคลตัวอย่างแห่งความเป็นผู้เสียสละ พระองค์เป็นบุคคลผู้เป็นตัวอย่างแห่งการละความชั่ว ประพฤษความดี และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ สะอาด ซึงสรุปรวมลงในพระคุณอันใหญ่ ๓ ประการ คือ ๑.พระปัญญาคุณ พระพุทธเจ้าเป็นผู้มีปัญญา รู้ดี รู้ชอบ ด้วยพระองค์เอง    คือ รู้อริยสัจจธรรมทั้ง ๔  ได้แก่ทุกข์ สมุทัย นิโรจ มรรค อันนี้เป็นพระปัญญาคุณ เป็นตัวอย่างแห่งบุคคลผู้มีปัญญาอันเลิศ พระพุทธเจ้าเป็นผู้มีพระกมลสันดานอันบริสุทธิ์สะอาด ปราศจากกิเลส  อาสวะน้อยใหญ่ทั้งหลายทั้งปวง กิเลสแม้เถ้าธุลีไม่มีเหลือติดอยู่ในพระทัยของพระองค์แล้ว พระองค์จึงเป็นผู้ถึงซึ่งความบริสุทธิ์สะอาด โดยสิ้นเชิง อันนี้พระองค์เป็นตัวอย่างแห่งบุคคลผู้มีความบริสุทธิ์ พระองค์เป็นผู้มีพระทัยประกอบด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ สุ่สละความทุกข์ยากลำบากเหน็ดเหนื่อยส่วนพระองค์ แสดงพระธรรมเทศนาโปรดเวไนยสัตว์ ให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์และไม่ใช่ประโยชน์ จนกระทั่งให้บรรลุมรรคผลนิพพาล 

อันนี้เป็นตัวอย่างแห่งบุคคลผู้ทรงไว้ซึ่งพระมหากรุณาธิคุณ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระมหากรุณาธิคุณนั้น แม้ว่าพระองค์จะทรงทราบว่าเวไนยสัตว์ ผู้ควรรับพระธรรมเทศนาจะอยู่ใกล้ ไกล สักปานใดก็ตาม       ก็ทรงอุตสาห์เสด็จไปเทศนาโปรด ให้เขาตั้งอยู่ใน มรรค ผล นิพพาน อันนี้ก็เป็นตัวอย่างแห่งบุคคลผู้มีมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่

ทีนี้เราจะมารำลึกถึงพระคุณของพระองค์ เพื่อจะน้อมเอาพระคุณนั้น ๆ เข้ามาอยู่ในจิตในใจของเรา เราจะทำอย่างไร

บัดนี้มาถึงวิธีการที่จะปฏิบัติแล้ว กันแล้ว พระโบราณาจารย์ท่านกล่าวว่า ผู้ที่จะมาปฏิบัติธรรมเพื่อให้บรรลุถึงความเป็นพุทธะในจิตในใจของตนเองนั้น เริ่มต้นด้วยวิธีการ คือการไหว้พระสวดมนต์ แล้วก็เจริญเมตตา ซึ่งการไหว้พระสวดมนต์นั้น ท่านทั้งหลายก็ย่อมเคยปฏิบัติกันอยู่แล้ว และการเจริญพรหมวิหารนั้นก็เข้าใจว่า คงกระทำในกิจวัตรประจำวัน

ทีนี้ตามแบบฉบับ ในเมื่อเราทำกิจในเบื้องต้นเสร็จแล้ว มานั่งขัดสมาธิ เอาขาขวาวางทับขาซ้าย มือขวา วางทับมือ ซ้าย ลงบนตัก ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติ ให้มั่น กำหนดรู้ลงที่จิตของเรา นึกในใจว่าพระพุทธเจ้าก็อยู่ในจิต พระธรรมก็อยู่ในจิต พระอริยสงฆ์ ก็อยู่ในจิต แล้วก็นึกในใจว่า       พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ, ๓ ครั้งแล้ว ก็มากำหนดนึกสำรวมเอาคำเดียวคือพุทโธ พุทโธ พุทโธ ไว้ที่ใจ 

หรือบางท่านอาจจะนึกพุทพร้อมกับลมเข้า โธพร้อมกับลมออกก็ได้ แล้วแต่สะดวก ทีนี้ถ้าหากว่าการนึกว่าพุทพร้อมลมเข้า โธพร้อมลมออกนั้น จังหวะแห่งการหายใจอาจจะห่างไป จิตยังมีช่องว่างที่จะส่งกระแสออกไปในทางอื่น ก็ให้ปล่อยลมหายใจเสีย แล้วให้นึกพุทโธ เร็วๆ เข้า พุทโธ พุทโธ พุทโธ เร็วๆ จนไม่มีช่องว่าง การนึกพุทโธ ในขณะที่เรานึกอยู่นั้น อย่าไปบังคับจิต เพียงแต่ให้รู้ว่าจิตของเราสัมผัสกับพุทโธ ไม่ขาดระยะ นึกอยู่อย่างนั้นแหล่ะ และก็ไม่ต้องไปนึกว่าเมื่อไหร่จิตจะสงบ เมื่อไหร่จิตจะสว่าง เมื่อไรจะรู้เมื่อไรจะเห็น      ไม่ต้องนึกทั้งนั้น รู้หรือไม่รู้  เห็นหรือไม่เห็น สงบ หรือไม่สงบ เป็นเรื่องของจิตที่จะเป็นไปเอง 

ในเมื่อมีการนึกพุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ ไม่ขาด นึกอยู่อย่างนั้น ในเมื่อถึงกาลถึงเวลาพอสมควรแล้วจิตจะสงบลงไปเอง ในตอนแรกๆนี้ ถ้าหากว่ามีอาการเคลิ้ม ๆ  เหมือนกับจะง่วงนอน นั่นส่อแสดงว่าจิตกำลังเริ่มจะสงบลงไปแล้ว ให้เร่งบริกรรมภาวนาเข้า ภาวนาเบาๆ ให้นึกพุทโธ พุทโธ พุทโธ เบาๆ อย่าให้มีอาการ กดและข่ม ความรู้สึกหรือประสาทในร่างกายส่วนใด ส่วนหนึ่ง พยายามทำให้สบายที่สุด ทั้งกายและใจ นึกอยู่อย่างนั้น จนกว่าจะถึงเวลาอันสมควร

ทีนี้ถ้าหากว่าจิตมีอาการเคลิ้มๆ ลงไป คำนึกว่าพุทโธ พุทโธ ซึ่งเรียกว่าบริกรรมภาวนานั้น เมื่อจิตมีอาการเคลื้มลงไปเกิดสว่างขึ้นมาเพียงเล็กน้อย แล้วรู้สึกว่า  คำว่าพุทโธจะหายไป ในเมื่อพุทโธหายไปเช่นนั้นแล้ว ให้ผู้ปฏิบัติกำหนดรู้อยู่ที่จิตอย่างเดียว หรือมิฉะนั้นก็น้อมจิตไปสู่ลมหายใจเข้า หายใจออก กำหนดรู้ที่ลมหายใจเข้า หายใจออกแทนคำว่าพุทโธ

กำหนดรู้อยู่ที่ลมหายใจอย่างนั้น ในขณะที่จิตกับบริกรรมภาวนาก็ดี หรือจิตกับลมหายใจเข้าออกมีความสัมผัสกันโดยไม่ขาดระยะก็ดี บางทีอาจจะะมีอาการ ตัวสั่นนิดๆ ก็อย่าไปสนใจ บางทีอาการกายเบา เหมือนจะ ลอยขึ้น ก็อย่าไปสนใจ บางทีมีอาการคล้ายๆ กับตัวสูงใหญ่ ขึ้นหรือเล็กลง หรือมีอาการใดๆที่ปรากฏในขณะนั้นๆ ก็ตาม ให้ท่านผู้ปฏิบัติกำหนดรู้ลงที่จิตกับลมหายใจเท่านั้น อย่าไปเอะใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วก็กำหนดรู้อยู่อย่างนั้น จนกว่าจิตจะค่อยสงบละเอียดลงไปทีละน้อย ละน้อย แล้วลมหายใจจะค่อยจางหายไป 

ในที่สุดลมหายใจจะหายขาดไป เมื่อลมหายใจหายขาดไปแล้ว กายที่ปรากฏอยู่ก็หายไปด้วย ในเมื่อกายหายไปแล้ว จิตจะสงบนิ่ง เด่น มีความสว่าง ไสว รู้อยู่ที่จิตอย่างเดียว ร่างกายไม่ปรากฏแล้วในตอนนี้ ลมหายใจก็หายไปหมดแล้ว ยังเหลือแต่จิตดวงเดียวล้วนๆ สว่างไสวอยู่อย่างงั้น อันนี้เรียกว่าจิตถึงอัปปนาสมาธิ 

จิตถึงอัปปนาสมาธิ ในขั้นนี้ ท่านเรียกว่าปฐมจิต ปฐมวิญญาณ มโนธาตุ เป็นแต่เพียงจิตสงบเข้าไปสู่สภาวะเป็นเดิมของจิต ที่ยังไม่ส่งกระแสออกมารับรู้อารมณ์ภายนอก แม้ว่าจิตในขั้นนี้ จะยังใช้การอะไรไม่ได้ก็ตาม ให้ผู้ปฏิบัติพยายามเพียรพยายามทำให้ได้อย่างนี้บ่อยๆ เข้า แล้วจิตจะค่อยเพิ่มพลังขึ้นมาเอง การทำสมาธฺิก็จะมีความคล่องแคล่ว ชำนิชำนาญ ในตอนนี้ถ้าหากท่านจะมีข้อสงสัยว่า เมื่อจิตสงบนิ่งลงเป็นอัปปนาสมาธฺิ จนตัวไม่ปรากฏ ลมหายใจไม่ปรากฏ จิตก็จะไปติดอยู่ในสมาถะ ไม่เกิดความรู้อันใดขึ้นมา บางท่านอาจจะสงสัยอย่างนี้ ความจริงนั้นเมื่อจิตอยู่ในอัปปนาสมาธิในขั้นนี้ จิตย่อมไม่มีสิ่งรู้ ไม่มีสิ่งเห็น มีแต่จิตดวงเดียวล้วนๆที่ใสสะอาดบริสุทธิอยู่เท่านั้น อันนี้จิตอยู่ในขั้นสมาถะย่อมไม่มีภูมิความรู้เกิดขึ้น 

ถ้าหากสมมุติว่าผู้ปฏิบัติแล้วจิตเป็นอย่างนี้บ่อยๆ แล้วจะเกิดปัญญาความรู้ขึ้นมาได้อย่างไร 

อันนี้เป็นปัญหาที่นักปฏิบัติจะต้องทำความเข้าใจ แต่อาตมะขอให้ข้อสังเกตุว่า เมื่อจิตสงบนิ่งเป็นอัปปนาสมาธิ ในขั้นสมาถะบ่อยๆ เข้า ก็จะกลายเป็นพื้นฐานการสร้างความมั่นคงของจิต ในเมื่อจิตมีสมาธิอันมั่นคง สติก็ย่อมมีความมั่นคงขึ้นเป็นเงาตามตัว

ทีนี้เมื่อจิตถอนออกมาจากความสงบนิ่งอย่างนี้ เมื่อเกิดความคิดขึ้นมาเท่านั้น ถ้าจิตมีสติมีสมาธิมีพลังเพียงพอ จิตก็จะตามรู้ความคิดนั้นไป ความคิดเกิดขึ้นมาอย่างไร จิตก็จะรู้ รู้ตามรู้ไปเรื่อย นี่ปัญญามันจะเกิดขึ้นที่ตรงนี้  ถ้าหากว่าผู้ปฏิบัตินั้น เมื่อจิตถอนออกมาจากอัปปนาสมาธิแล้ว ก็เลิกจากการกำหนดจิตเลยทีเดียว ถ้าปล่อยทำอย่างนี้เรื่อยๆ ปัญญามันก็ไม่เกิด เพื่อจะให้ปัญญาเกิด เมื่อจิตถอนออกมาจากอัปนาสมาธิ พอมาเกิดความคิดขึ้นมาเท่านั้น ให้กำหนดตามรู้ความคิดนั้นไป อย่าไปปล่อย อย่าไปละโอกาส แม้ว่าจิตจะถอนออกมาโดยไม่มีพลังแห่งสมาธิเหลืออยู่ก็ตาม ให้กำหนดตามความคิดนั้นไปเรื่อยๆ จิตคิดอะไรขึ้นมาก็รู้ คิดอะไรขึ้นมาก็รู้ เพียงแต่รู้เฉยๆ อย่าไปช่วยวิพากวิจารณ์ใดๆทั้งสิ้น แล้วเมื่อปฏิบัติอย่างนี้ ปัญญาของผู้ปฏิบัติจะค่อยเกิดขึ้นมาเอง เพราะสิ่งที่เรียกว่าปัญญานั้นก็หมายถึงความคิดที่เราเคยคิดแล้วมันทำความวุ่นวายให้เราเมื่อก่อนนั่นเอง แต่เมื่อเราผ่านการทำสมาธิบ่อยๆ เข้า จนจิตมีพลังสมาธิ มีพลังแห่งสติมั่นคง ความคิดที่วุ่นวายทั้งหลายเมื่อก่อนนั้น จะกลายเป็นเครื่องรู้ของจิต จะเป็นเครื่องระลึกของสติ เป็นฐานที่ตั้งของจิต เป็นฐานที่ตั้งของสติ เมื่อผู้ปฏิบัติตั้งใจกำหนดตามรู้ความคิดของตัวเองที่เกิดขึ้นนั้น. โดยไม่ปล่อยโอกาสให้ผ่านไปเฉยๆ ในเมื่อจิตมีเครื่องรู้ สติมีเครื่องระลึกจะทำให้สติตัวนี้มีพลังแก่กล้าขึ้นเป็นมหาสติ ในเมื่อสติตัวนี้มีพลังแก่กล้าขึ้นมหาสติ สติตัวนี้จะกลายเป็นสตินทรีย์ เรียกว่าสติเป็นอินทรีย์ เป็นใหญ่ในธรรมทั้งปวง เมื่อมีความคิดอันใดเกิดขึ้น เพราะอาศัยสติเป็นใหญ่นั่นเอง สติจะค่อยจ้องมองตามระยะแห่งความคิดไปเรื่อย 

ทีนี้ความคิดที่เกิดขึ้นและสติเป็นผู้คอยควบคุมอยู่นั้น ในเมื่อจิตคิดอะไรขึ้นมา จะมีอาการสักแต่ว่าคิด คิดแล้วก็ปล่อยวางไป ไม่ยึดถึอในสิ่งใดๆทั้งสิ้น และในโอกาสต่อไปนอกจากเวลาที่เราตั้งใจปฏิบัติด้วยการนั่งสมาธิหลับหูหลับตา เวลาเราไปทำงานทำการ สติตัวนี้จะกลายเป็นอุปกรณ์แห่งการทำงานได้เป็นอย่างดี เพราะผู้ภาวนานั้นจะถือว่างานในหน้าที่ของเรานั้น เป็นเครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่องระลึกของสติ ต่อไปแม้ว่าการยืนเดินนั่งนอนกินดื่มทำพูดคิด เราทำสติตามรู้อยู่ตลอดเวลา ในเมื่อเป็นเช่นนั้น การปฏิบัติธรรม การปฏิบัติสมาธิ ของเราก็มีได้ตลอดเวลา นี่คือผลที่จะพึงเกิดขึ้นจากการบริกรรมภาวนา จริงอยู่ในเมื่อเราพูดกันตามหลักวิชา       พุทธานุสติเป็นอารมณ์ของสมาถะกรรมฐาน ทีนี้บางท่านกล่าวว่า การภาวนาพุทโธนั้น จิตสงบลงได้เพียงแค่ สมาถะกรรมฐานเท่านั้น แต่โดยข้อเท็จจริง ที่ได้ทดสอบกันมาแล้ว การบริกรรมภาวนาทุกอย่าง จิตสงบลงไปเพียงแค่อุปจาระสมาธิ คำบริกรรมภาวนานั้นหายไป ในเมื่อคำบริกรรมภาวนาหายไป ผู้ฉลาดในการปฏิบัติมีทางที่จะพึงปฏิบัติได้ในสองแง่ 

แง่หนึ่ง, น้อมเอาจิตนั้นไปเพ่งพิจารณาอาการ ๓๒ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น พิจารณาไปในแง่แห่ง อสุภะ คือความไม่สวย ไม่งาม ปฏิกูล น่าเกลียด โสโครก ทั้งปัจจุบัน ทั้งที่ถึงแก่ความตายไปแล้ว โดยน้อมนึกพิจารณาเอาว่า ผม ก็เป็นของปฏิกูล ขน ก็เป็นของปฏิกูล เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ก็เป็นของปฏิกูล น่าเกลียด โสโครก เป็นอุบายที่ให้จิตใจของเราน้อมเชื่อลงไปว่า เป็นอย่างนั้นจริงๆ  พิจารณาทบทวนอยู่อย่างนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกท่านทั้งหลายเคยเรียนวิชาแพทย์มาแล้ว 

การพิจารณาอสุภะกรรมฐานนี้เป็นของง่าย  ที่ว่าให้พิจารณา ผม ขน เล็บฟันหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก นั้น ตามหลักของอาการ ๓๒ หรือกายคตาสติ อันนี้ท่านเขียนไว้เป็นตำหรับ ตำรา ท่านผู้ใดสมัครใจที่จะพิจารณา อสุภะกรรมฐาน ท่านอาจจะน้อมนึกถึงอดีต ที่ท่านเคยเรียนวิชาแพทย์มา ท่านเคยผ่าศพมาพิสูจน์ ผ่าตับไต ไส้พุงอะไรต่างๆ ที่มีอยู่ในกายของมนุษย์นี้ ที่ท่านหยิบมาด้วยมือ แล้วก็ดูด้วยตา รู้ด้วยใจ น้อมเอาอดีต สัญญาอันนั้นแหล่ะมาพิจารณาเป็นอารมณ์ของกรรมฐาน ซึ่งบางท่าน เคยแนะนำให้พิจารณาอสุภะกรรมฐาน ท่านก็บอกว่าหลับตาลงเดี๋ยวนี้ก็มองเห็นเดี๋ยวนี้ เพราะว่าเคยเล่นมาซะจนแหลกละเอียดมาแล้ว แต่อันนั้นมันเป็นเรื่องสัญญา ทีนี้เราเอาเรื่องสัญญาอดีตของเราที่เคยเรียนผ่านมานั่นแหล่ะ มาพิจารณา เป็นอารมณ์กรรมฐาน พิจารณาไปเช่น อย่างสมมุติว่า เราอาจจะพิจารณาว่าหัวใจมีลักษณะอย่างไร มีหน้าที่อย่างไร ตามที่ท่านเคยเรียนมานั่นแหล่ะ เพ่งลงไป ให้มันมองเห็นด้วยจิตด้วยใจกันจริงๆ ในตอนแรกๆเนี่ย เราอาศัยสัญญาที่เคยเรียนมานั้น น้อมนึกเป็นแนวทางเอาไว้ก่อนในเมื่อท่านพิจารณาลงไปพอแน่ใจว่า พอเกิดแต่ความเชื่อในใจว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถึงจิตของท่านจะไม่เชื่อก็ตาม เพราะท่านก็เคยรู้เคยเห็นมาแล้ว มันเป็นของง่าย พอหลังจากนั้น ท่านอาจจะกำหนดบริกรรมภาวนาอันใดอันหนึ่งลงไปเช่นพุทโธ พุทโธ พุทโธ เป็นต้น เมื่อจิตของท่านสงบลง ไปแล้ว ท่านจะมองเห็นสิ่งที่ท่านพิจาณานั้น เป็นนิมิตรขึ้นมา ภายในจิตในใจ อาตมะว่าเป็นการง่ายที่สุดสำหรับการเจริญอสุภะกรรมฐาน ของบรรดานายแพทย์ทั้งหลายที่เคยเรียนมาแล้ว

ทีนี้ในเมื่อท่านพิจารณาเรื่องอวัยวะต่างๆ ซึ่งมีภายในกาย ที่ท่านเรียนผ่านมาแล้วนี่ จนกระทั่งจิตของท่านสามารถรู้ซึ้ง เห็นจริง ลงไป จนจิตสงบลงไปแล้ว เกิดเป็นนิมิตรขึ้นมาในความรู้สึก ภายในจิตอยู่ในลักษณะท่าที ที่สงบนิ่ง เป็นสมาธิ ในขั้นต้นนี่ ในเมื่อท่านเกิดนิมิตร ความรู้เห็นขึ้นมา อาจจะมีลักษณะคล้ายๆ กับว่ามองเห็นด้วยตา แล้วก็รู้ด้วยใจ นี่เป็นนิมิตรเบื้องต้นที่จะพึงเกิดขึ้น ทีนี้เมื่อจิตสงบละเอียดลงไปกันจริงๆ แล้ว จนกระทั่งท่านรู้สึกว่าจิตของท่านยังเหลือแต่จิตล้วนๆ ร่างกายไม่ปรากฏในความรู้สึก และการมองเห็นนิมิตรนั้นจะรู้สึกว่าเห็นด้วยใจล้วนๆ โดยไม่มีประสาททางกายเจือปนแม้แต่ประการใด

ทีนี้ถ้าหากสมมุติว่าท่านสามารถทำได้ดังที่ได้กล่าวมานี้จะเป็นอุปกรณ์ในการพยาบาลรักษาคนไข้ได้อย่างดีวิเศษที่สุด ทีนี้อสุภะกรรมฐานเนี่ย เป็นอุปกรณ์แก่การรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้อย่างไร ในช่วงต่อไปนี้ อาตมะจะได้ขอนำเรื่องส่วนตัวมาเล่าสู่ท่านทั้งหลายฟัง ในสมัยเมื่ออายุ ๒๒ ปี อาตมะป่วยเป็นวัณโรค ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยาที่จะรักษาโรควัณโรคนั้นยังไม่มี ยังไม่มีใครรับรองว่า รักษาวัณโรคหาย ทีนี้พอดีท่านอาจารย์ฝั้น ท่านมาจำพรรษาด้วย อยู่ที่วัดบูรพาเมืองอุบล ท่านก็มาแนะนำให้พิจารณาอาการ ๓๒ คือผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก นี่แหล่ะ ทีแรกก็ใช้ความคิดพิจารณา ตามที่เราจำได้ โดยเริ่มต้นว่า 

อยังโข เม กาโย กายของเรานี้แล 

อุทธัง ปาทะตะลา เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา 

อะโธ เกสะ มัตถะกา เบื้องตำ่แต่ปลายผมลงไป 

ตะจะปะริยันโต มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ 

ปูโร นานัปปะการัสสะ อะสุจิโน เต็มไปด้วยของไม่สะอาด มีประการต่างๆ 

อัตถิ อิมัสมิง กาเย มีอยู่ในกายนี้ 

เกศา คือผมทั้งหลาย น้อมจิตนึกไปที่ผม 

โลมาคือขนทั้งหลาย น้อมจิตนึกไปที่ขน 

นะขาคือเล็บทั้งหลาย น้อมจิต นึกไปที่เล็บ 

ทันตาคือฟันทั้งหลาย น้อมจิตนึกไปที่ฟัน 

ตะโจ คือหนัง น้อมจิตนึกไปที่หนัง 

มังสังคือเนื้อ น้อมจิตนึกไปที่เนื้อ 

นะหารุ คือเอ็นทั้งหลาย น้อมจิตนึกไปที่เอ็น 

อัฏฐิ คือกระดูกทั้งหลาย น้อมจิตไปที่กระดูก 

อัฏฐิมิญชัง คือเหยื่อในกระดูก น้อมจิตนึกไปที่เหยี่อในกระดูก 

วักกัง ม้าม น้อมจิตไปที่ม้าม 

หะทะยัง หัวใจ น้อมจิตไปที่หัวใจ 

ปัปผาสัง ปอด น้อมจิตไปที่ปอด เพราะอุปทานเคยยึดถือว่า วัณโรคเป็นอยู่ที่ปอด พอน้อมไปที่ปอด จิตก็จดจ้องอยู่ที่ปอด ไม่ยอมไปไหน ในที่สุดก็มองเห็นปอดของตัวเองเป็นสีแดงแล้วจิตก็มีความสว่างไสว มองเห็นจุดอยู่ที่ขั้วปอดสองจุด โต ขนาดเหรียญสลึง แล้วก็น้อมเพ่งดู อยู่ที่ปอดนั้นตลอดไป จิตมันก็ยังไม่ยอมไปไหนเหมือนกัน ในตอนแรกๆ มันก็รู้สึกว่า กายก็ยังปรากฏอยู่ ลมหายใจก็ยังปรากฏอยู่ แล้วก็มองเห็นปอดคล้ายๆกับ มองเห็นด้วยสายตาและรู้ด้วยใจ 

ในเมื่อจิตเพ่งอยู่ที่ปอดโดยไม่ลดละ จิตก็ค่อยสงบละเอียดลงไป  สงบละเอียดลงไป เมื่อจิตสงบละเอียดลงไปจริงๆ แล้ว ปรากฏว่าร่างกายของตัวเองไปนอนแผ่อยู่กับพื้น ความรู้สึกในขณะนั้น เหมือนกับว่าจิตไปลอยเด่นอยู่เหนือร่างกาย สูงประมาณ ๒ เมตร แล้วก็ทอดแสงสว่างลงมาดูกาย

ในตอนนี้ความรู้สึกนึกคิดอะไรไม่มีทั้งนั้น มีแต่จิตรู้เด่นสว่างอยู่อย่างนั้น แต่ทางส่วนกายเนี่ย 

เริ่มต้นด้วยการขึ้นอืด แล้วก็น้ำเหลืองไหล เนื้อหนังผุพังไป ตกลงไปทีละชิ้นสองชิ้น ในที่สุดยังเหลืออยู่แต่โครงกระดูก แล้วโครงกระดูกก็หลุดออกจากกัน แล้วก็หักเป็นท่อนน้อย ท่อนใหญ่  

ในที่สุดกระดูกก็แหลกละเอียด หายไปกับพื้นดิน มองเห็นผงกระดูกโปรยอยู่บนพื้นดินเหมือนกับขี้เถ้าโปรยอยู่กับกองทราย แล้วอยู่มาอีกขณะหนึ่ง พอผงกระดูกหายลงไปในพื้นแผ่นดิน มองไม่เห็นผงกระดูก ในที่สุดพื้นแผ่นดินที่มองเห็นอยู่นั้นก็หายไปหมด ยังเหลือแต่จิตดวงเดียวเท่านั้น แล้วอีกสักพักหนึ่งแผ่นดินก็ปรากฏขึ้นมาแล้วก็มีผงกระดูก แล้วก็มีกระดูกเป็นท่อนน้อย ท่อนใหญ่ แล้วก็เป็นชิ้นกระดูกกลับคืนมา แล้วก็มาต่อเป็นโครงสร้างมีโครงกระดูกครบถ้วน เนื้อหนังก็ค่อยงอกขึ้นมาตามที่ต่อของกระดูก จนปรากฏว่ามีร่างกายสมบูรณ์ตามเดิม แล้วก็มีอันเป็นไปอยู่อย่างนั้น กลับไปกลับมาไม่รู้กี่ครั้งกี่หน แต่จำได้เพียงแค่ ๓ ครั้งเท่านั้น ความเป็นอันนี้ เริ่มเป็นอยู่ตั้งแต่ตี ๓ แล้วไปรู้สึกตัวต่อเมื่อสองมองเช้า ก่อนที่จะรู้สึกตัวขึ้นมานั้น ดวงจิตที่ลอยเด่นอยู่นั้นมีอาการ ไหวนิดนึง  พอไหวแล้วก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า นี่หรือคือความตาย ความรู้สึกอันนึงผุดขึ้นมาตอบว่า ใช่แล้ว พอคำตอบคำว่าใช่แล้วปรากฏขึ้น จิตที่ลอยเด่นอยู่นั้น ก็ลดลงมาปะทะ กับหน้าอกแผ่วๆ แล้วความรู้สึกก็ค่อยรู้สึกทางกายขึ้นมา ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในระยะแรกนั้น คล้ายๆ กับถูกฉีดยาเข้าเส้นอย่างแรง มีอาการวิ่งสู้ไปจนทั่วกาย ทีนี้อาตมะก็กำหนดดูว่า เรานอนอยู่ในท่าไหน หันศรีษะไปทางใด มือเท้าวางไว้อย่างไรกำหนดจิตอย่างไร จึงเป็นอย่างนี้ พอรู้สึกตัว     อย่างเต็มที่แล้ว จนหายสงสัยแล้วว่าเราตืนรู้สึกตัวเต็มที่แล้ว ความสงสัยนั้นก็ยังมีอยู่ นึกสงสัยขึ้นมาว่า เอ๊ะ เนี่ยเราตายจริงรึป่าว เลยต้องยกมือขึ้นมาคลำดูหน้าอก พอแน่ใจว่ายังไม่ตายลืมตาขึ้นก็ดูนาฬิกาก็ ๒โมงเช้าพอดี

ทีนี้พอเหตุการณ์อย่างนี้ผ่านไป วัณโรคที่เป็นอยู่นั้น อาเจียรเป็นโลหิตออกมา แล้วก็เป็นน้ำหนองมาอย่างเหม็นเน่า แล้วก็ค่อยๆ จางหายไปทีละน้อย ๆ ในที่สุดเลือดหายขาด หนองที่เคยออกก็หาย ร่างกายก็ค่อยดีขึ้น ๆ จนกระทั่งหาย มาจนกระทั่งบัดนี้ 

อันนี้ขอให้ท่านทั้งหลายลองพิจารณาดูสิว่า การบำเพ็ญกรรมฐานเนี่ย เกี่ยวกับการพิจารณาอสุภะกรรมฐานเนี่ย

พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก นี่ มีทางพอที่จะ ช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ม๊ย ในฐานะที่ท่านทั้งหลายก็เป็นนายแพทย์ที่เรียนผ่านมาแล้ว แต่อาตมะภาพยืนยันรับรองได้ว่า วัณโรคของอาตมะที่เป็นนั้น หายเพราะการภาวนา เพราะความรู้สภาวะที่เป็นจริงซึ่งเกิดขึ้นในจิตในใจ ทีนี้ผลลัพธ์แห่งความรู้ที่เกิดขึ้นนั้น หลังจากที่ร่างกายสลายไปหมดแล้วยังเหลือแต่จิตอย่างเดียวเมื่อปรากฏมีกายอีกทีหนึ่ง ความรู้สึกมันก็เกิดขึ้นว่าไอ้โรคภัยไข้เจ็บนี้มันเป็นอยู่ที่ร่างกาย ไม่ได้เป็นอยู่ที่ใจ ใจกับกายมันคนละอย่าง กาย เหมือนกับเป็นส่ิงซึ่งเป็นที่อาศัย แต่ว่าใจนั้นอาศัยอยู่ในกาย แต่ผู้เจ็บ ผู้ป่วย ผู้ตายไม่ใช่ใจ ร่างกายต่างหากที่มันเจ็บป่วยตายไป ร่างกายก็เป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวของเรา เพราะฉะนั้นในเมื่อไม่มีตัวมีตน มีแต่จิตดวงเดียวแล้วความเจ็บไข้ได้ป่วยมันจะมีมาแต่ไหน หลังจากนั้นกำลังใจมันก็เกิดขึ้นอย่างมหาศาล

ถ้าหากว่าบางครั้งมันอาจจะเกิดความรู้สึกเกี่ยวกับความเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ในด้านที่เรียกว่ามันทำให้เกิดทุกข์ใจ มันมักจะมีความคิดเกิดขึ้นมาโต้ตอบว่า ไม่ได้จ้างให้มันมาเกิด ไม่ได้จ้างให้มันมาตาย อยากตายก็เชิญเลย เนี่ยมันท้าทายอย่างนี้ แล้วโรคภัยไข้เจ็บก็หายมาเรื่อยๆมา อันนี้ที่นำมาเล่าเนี่ย ก็เพื่อเป็นแนวทางให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณาว่า การบำเพ็ญสมาถะกรรมฐาน ก็ดีวิปัสสนากรรมฐาน ก็ดี สามารถที่จะช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้หายได้บ้างมั๊ย อันนี้ขอฝากไว้ให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณา 

และอีกอย่างหนึ่ง มีท่านอาจารย์องค์หนึ่ง อันเนี่ยก็เป็นตัวอย่าง อีกอันหนึ่งเหมือนกัน              ท่านอาจารย์จันทร์  เขมปัตโต ท่านอยู่ที่จังหวัดหนองคาย มีพระรูปหนึ่ง เจ็บปวดในท้องไม่หายสักที รักษาอย่างงัยก็ไม่หาย อยู่มาวันหนึ่ง ท่านก็จับพระ องค์นั้นมานั่งด้านหน้าท่าน ไหนมาดูดิ จะตรวจโรคให้ ทำไมมันถึงไม่หายสักที เสร็จแล้วท่านก็นั่งเพ่งดูร่างของพระ  องค์นั้น อีกสักพักหนึ่งท่านก็บอกว่า มันจะไม่เจ็บไม่ปวดได้อย่างไร คุณกินเบ็ดเข้าไปตั้งคัน มันเกาะอยู่ที่ผนังกระเพาะ ไปให้หมอเอาออกให้ซะแล้วมันก็จะหาย พระองค์นั้นก็เข้าโรงพยาบาล หมอฉายเอ๊กซเรย์ ผ่าเอาเบ็ดออก แล้วโรคมันก็หาย อันนี้การทำสมาธิ สามารถที่จะตรวจโรคได้ คุณหมอซึ่งเป็นลูกศิษย์อัตมะภาพอยู่ที่นครราชสีมาก็เคยเล่าให้ฟัง การทำสมาธิ ภาวนา พุทโธ พุทโธ พุทโธตามที่หลวงพ่อบอกนั้นน่ะ จิตของหนูไม่เคยสงบนิ่ง สว่าง เป็นสมาธิ สักที แต่ว่ามันแปลกอยู่อย่างหนึ่ง เวลาตรวจโรค พอจับเครื่องฟังเข้ามา สวมเข้าหูเท่านั้น จิตมันวูปไปปะทะร่างคนไข้ แล้วมันก็รายงานออกมาได้ว่า เค๊าเป็นโรคอย่างนั้น ควรจะให้ยาอย่างนั้น ในเมื่อไปตรวจดูจริงๆ แล้วมันก็ถูกต้อง แล้วเค๊าถามว่าเป็นเพราะผลแห่งการทำสมาธิหรือเปล่า อาตมาก็บอกว่าให้คุณพิจารณาเอาเอง อาตมาไม่ตัดสินให้หรอก ให้ทดสอบกันไปเรื่อยๆ เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงว่ามันจะเป็นจริงได้ไหม

ที่นำมาเล่าสู่บรรดาท่านทั้งหลายฟังเนี่ย ก็เพื่อจะให้ท่านทั้งหลายได้ช่วยพิจารณาว่าการทำสมาธิคือการสร้างพลังจิต พลังจิตนี้เราสามารถที่จะเอาไปใช้ประโยชน์เกี่ยวกับการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ หรือเทคโนโลยีต่างๆ ในสมัยปัจจุบันนี้ได้มั๊ย.  อาตมะก็ไม่ได้เรียนไม่ได้อ่านนั้น แต่ในเรื่องส่วนตัวนี้ เชื่อมั่นเหลือเกินว่า โรคภัยไข้เจ็บที่เคยผ่าน เคยเป็นผ่านมาแล้วเนี่ย รักษาด้วยพลังแห่งสมาธิ 

ทีนี้การใช้พลังจิตหรือพลังแห่งสมาธินั้น อาตมะภาพก็เคยทดลองดู ท่านอาจารย์ฝั้นท่านว่าการพิจารณาอาการ ๓๒ เนี่ย เป็นการเพ่งกะสิน การเพ่งกะสินภายใน คือเพ่ง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น เป็นฐานที่สร้างพลังทางจิต คือทำให้สติ นั้น กลายเป็นมหาสติขึ้นมา  

จะด้วยประการใดก็ตามการทำสมาธินั้นจุดมุ่งหมายอยู่ตรงที่ว่า ต้องการให้จิตสงบเป็นสมาธิ และเพื่อให้รู้สภาพความเป็นจริงของจิตดั้งเดิม ที่ยังไม่รับรู้อารมณ์มีลักษณะอย่างไร ในเมื่อออกมารับรู้อารมณ์แล้ว มีลักษณะอย่างไร เราจะได้รู้ข้อเท็จจริงกันที่ตรงนี้ ทีนี้การทำสมาธิเนี่ย สมาธิจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเราหมดความตั้งใจ ถ้าเราภาวนาพุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ ถ้ามีความตั้งใจอยู่ว่าเมื่อไหร่จิตจะสงบ ท่านจะไม่พบกับความสงบ ท่านต้องภาวนาบริกรรมจนลืมไป       ลืมนึกถึงผลที่จะบังเกิดขึ้น แล้วจิตของท่านจึงจะสงบลงได้ 

ทีนี้วิปัสสนาจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราหมดความคิด ในขั้นต้น เราอาจจะยกเอาอันใดอันหนึ่งมาพิจารณาเช่นรูปไม่เที่ยง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อันนี้เราจำเป็นจะต้องเอาความรู้ทางปริยัติ มาคิดพิจารณา เป็นแนวนำ เป็นการปรับปรุงปฏิปทา ทำให้จิตของเราเนี่ย มีความเชื่อตามส่ิงที่เราพิจารณานั้นๆ  การพิจารณาอันนี้ก็เป็นอุบายทำให้จิตสงบลงไปได้ เมื่อจิตสงบลงไปแล้ว ความรู้ซึ่งจะเกิดขึ้นโดยอัตตโนมัติย่อมมี ความรู้ที่เกิดขึ้นในขณะที่จิตเป็นอุปจาระสมาธินั้น เป็นความรู้ที่มีชื่อสมมุติบัญญัติเรียกได้ เช่นอย่างรู้เรื่องของรูป ก็เรียกรูปได้ เวทนา ก็เรียกเวทนาได้ สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เรียก สัญญา สังขาร วิญญาณได้ อันนี้เป็นความรู้ที่เกิดขึ้นในระดับแห่ง อุปปาจระสมาธิ  แต่ถ้าความรู้ที่เกิดขึ้นในระดับแห่งอัปปนาสมาธินั้น มีแต่สิ่งที่ปรากฏการเกิดขึ้น ดับไป เกิดขึ้น ดับไป ไม่มีสมมุติบัญญัติ จะเรียกสิ่งนั้นว่าอะไรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ท่านจึงกล่าวว่า ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง      นิโรธะธัมมันติ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา 

ทำไมจึงเรียกว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็เพราะไม่มีภาษาที่จะเรียกนั่นเอง ความรู้ที่อยู่ในขั้นโลกีย์ มีภาษา สมมุติบัญญัติเรียกได้ ความรู้ที่อยู่ในขั้นแห่งโลกุตระ ไม่มีภาษาที่จะเรียกสิ่งนั้นว่าอะไรทั้งสิ้น มีแต่ส่ิงที่ปรากฏการณ์ให้รู้ให้เห็น อยู่ มีอยู่ เป็นอยู่ เท่านั้น แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เคยรับสั่งถามอาตมะภาพว่า ธรรมะที่เกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติ แม้ผู้ปฏิบัติไม่สามารถที่จะรู้จักชื่อแห่งธรรมะนั้นได้ จะถือว่าเป็นการใช้ได้มั๊ย  ท่านรับสั่งถามอย่างนี้ อาตมาก็ถวายพระพรท่านว่า ขอถวายพระพรพระมหาบพิตร พระราชสมภารเจ้า โดยธรรมชาติของสัจธรรม ซึ่งเกิดขึ้นในจิต ของผู้ปฏิบัติตามความเป็นจริง ย่อมอยู่เหนือสมมุติบัญญัติใดๆ ทั้งสิ้น เราไม่มีภาษาที่จะเรียกสิ่งนั้นว่าอะไร อันนี้คือธรรมชาติของสัจธรรมที่ปรากฏขึ้น พระมหาบพิตร ทรงต้องการหลักฐานมั๊ย พระองค์ก็รับสั่งว่าถ้ามีก็ดี อาตมาก็เลยยกเอา ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ ในท้ายแห่ง     ธัมมจักรกัปวัตตนสูตร ที่ท่านอัญญาโกณฑัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรมว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น ธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา แล้วสมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าก็ทรงรับรองว่าท่านอัญญาโกณฑัญญะ เป็นพระโสดาบัน ได้ดวงตาเห็นธรรม นี่คือธรรมะที่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เกี่ยวกับการปฏิบัติในบางส่วน ของผู้ปฏิบัติธรรม ในสายสมถะกรรมฐาน และ วิปัสสนากรรมฐาน อาตมะนำมาเล่าสู่ท่านทั้งหลายฟัง โดยย่นย่อ เข้าใจว่าพอที่จะเป็นคติเตือนใจ

แต่ขอย้ำเตือนอีกอย่างหนึ่งว่า การปฏิบัติธรรมนี้  อย่าไปติดวิธีการให้มากนัก เช่นอย่างอาตมะพูดในตอนต้นว่าการทำสมาธิ ต้องนั่งขัดสมาธิ เอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่น บางท่านอาจจะคิดว่าทำในท่าอื่นไม่ใช่การปฏิบัติสมาธิแล้ว อย่าไปเข้าใจผิด ยืนทำสมาธิได้ นอนทำสมาธิได้ เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำพูด คิด แม้แต่ทำงานอยู่ ทำสมาธิได้ คือทำสติ ตัวเดียวนั่นเอง ทำอะไรก็รู้ ทำอะไรก็รู้ ทำสติตลอดเวลา นั่นแหล่ะคือการทำสมาธิ    ใครจะทำในท่าไหนได้ทั้งนั้น เอาละการกล่าวธรรมะพอเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ของท่านผู้ฟังทั้งหลาย ก็เห็นว่าพอสมควรแก่กาละเวลา ถ้าหากมีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง ก็ขออภัยท่านผู้รู้ทั้งหลาย ช่วยพิจารณาด้วย ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้  

กราบสาธุ สาธุ สาธุ เจ้าค่ะ 🙏🙏🙏



ทวัตติงสาการปาฐะ (อาการ ๓๒ )

(หันทะ มะยัง ทวัตติงสา การะปาฐัง ภะนามะ เส)

อะยัง โข เม กาโย    กายของเรานี้แล

อุทธัง ปาทะตะลา  เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา

อะโธ เกสะมัตถะกา  เบื้องตำ่แต่ปลายผมลงไป

ตะจะปะริยันโต  มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ

ปุโร นานัปปะการัสสะ อะสุจิโน เต็มไปด้วยของไม่สะอาด มีประการต่างๆ

อัตถิ อิมัสมิง กาเย มีอยู่ในกายนี้

เกสา คือ ผมทั้งหลาย

โลมา คือ ขนทั้งหลาย

นะขา คือ เล็บทั้งหลาย

ทันตา คือ ฟันทั้งหลาย

ตะโจ    หนัง

มังสัง    เนื้อ

นะหารู   เอ็นทั้งหลาย

อัฏฐิ      กระดูกทั้งหลาย

อัฏฐิมิญชัง เยื่อในกระดูก

วักกัง     ม้าม

หะทะยัง   หัวใจ

ยะกะนัง   ตับ

กิโลมะกัง   พังผืด

ปิหะกัง       ไต

ปัปผาสัง     ปอด

อันตัง คือ ไส้ใหญ่

อันตะคุณัง  ไส้น้อย

อุทะริยัง    อาหารใหม่

กะริสัง       อาหารเก่า

ปิตตัง     น้ำดี

เสมหัง    น้ำเสลด

ปุพโพ     น้ำเหลือง

โลหิตัง    น้ำเลือด

เสโท       น้ำเหงื่อ

เมโท       น้ำมันข้น

อัสสุ        น้ำตา

วะสา       น้ำมันเหลว

เขโฬ       น้ำลาย

สิงฆานิกา   น้ำมูก

ละสิกา        น้ำมันไขข้อ

มุตตัง          น้ำมูตร

มัตถะเก มัตถะลุงคัง เยื่อในสมอง

เอวะ มะยัง เม กาโย  กายของเรานี้อย่างนี้

อุทธัง ปาทะตะลา  เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา

อะโธ เกสะมัตถะกา เบื้องตำ่แต่ปลายผมลงไป

ตะจะปะริยันโต มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ

ปุโร นานัปปะการัสสะ อะสุจิโน เต็มไปด้วยของไม่สะอาด มีประการต่างๆ อย่างนี้แล


http://www.watpamahachai.net/watpamahachai-16.htm




น้อมกราบด้วยเศียรเกล้า น้อมกราบแทบพระบาทในคุณพระศรีรัตนตรัย 🙏🙏🙏 

น้อมกราบขอบพระคุณ พระอาจารย์ ที่นำมาเปิดเสียงตามสายในช่วงเช้าตรู่ ที่วัดป่าสาละวัน เพิ่งได้ฟังเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2567 มีความประทับใจมาก ตอนที่ท่านเทศน์เรื่องการทำสมาธิกับการรักษาโรคของพระคุณเจ้า  ลูกรู้สึกเป็นบุญที่ได้ฟังท่านเทศน์ น้อมกราบสาธุ เจ้าค่ะ🙏🙏🙏

กราบขอบพระคุณท่านเจ้าของคลิปทางยูทูป  ที่ได้นำพระธรรมเทศนา มาเผยแพร่  ให้พุทธศาสนิกชนได้รับฟัง และกราบขออนุญาต นำบางส่วนของคลิปมาแบ่งปัน ให้พุทธศาสนิกชน ท่านใด ที่มีปัญหาสุขภาพ 
ขอให้อาการของทุกท่านทุเลา และดีขึ้นๆ ๆนะคะ 
ขอให้ทุกท่านโชคดี และ มีสุขภาพแข็งแรงค่ะ 
น้อมกราบอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย ได้โปรดประทานพรคุ้มครองทุกท่าน ให้มีอายุ วรรณะ สุขะ โภคะ พละ ยั่งยืนนาน  กราบสาธุ สาธุ สาธุ เจ้าค่ะ 🙏🙏🙏










วันศุกร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2566

เรียนผู้ช่วยพยาบาล CNA (Certified Nursing Assistant) Honolulu, Hawaii 2022

 สวัสดีค่ะ 💖

       Long time no see, How have you been ! 😊  วันนี้ก็จะมาขอบคุณและแบ่งปัน โรงเรียน ดี ดี อีกโรงเรียนหนึ่งนะคะ ที่ได้มีโอกาสไปเรียน ครอส สั้นๆ 3 อาทิตย์ แต่อาจจะเพิ่มเวลาการเรียนไปอีก รวมๆ แล้วก็ประมาณ 1 เดือน แต่ขอบอกว่าเข้มข้นมากเลยค่ะ ทั้งเนื้อหา และ การเรียนการสอน 

Healthcare Training & Career Consultants, Inc. 

Address 2130 North King St, Honolulu, Hawaii 96819. 

Phone (808) 843-2211

https://www.htcc4u.com

ตารางเรียนที่เปิดสอน มีทั้งภาคเช้าคือ 9.00 AM.  - 4.30 PM.  

และ ตารางเรียนภาคคำ่ 4.45 PM. - 9.45 PM.

เมื่อคุณตัดสินใจได้แล้ว ว่าจะเลือกเรียนภาคเช้าหรือภาคค่ำ ก่อนที่โรงเรียนจะเปิด อยากให้ไปสมัครก่อนล่วงหน้าสัก 1-2 อาทิตย์ เพื่อที่จะขอรับการบ้านมาทำก่อนล่วงหน้าที่โรงเรียนจะเปิดสอน การบ้านนี้สำคัญจริงๆ อยากให้ไปล่วงหน้า เพราะไม่งั้น คุณจะทำการบ้านไม่ทัน เพราะการบ้านเยอะ แล้วจะเป็นลักษณะที่เราต้องมาเปิดหาในหนังสือแล้วสรุปเนื้อหาลงในกระดาษคำตอบ ไม่ใช่เป็น choice ABC ให้เลือกนะคะ 

ข้อดีของการที่โรงเรียนมีเปิดสอนทั้งภาคเช้าและภาคคำ่ นี่ดีอย่างคือ สมมุติว่า คุณลงเรียนภาคคำ่ แล้ววันไหนที่คุณมีธุระ ไม่ว่างที่จะต้องไปเรียนภาคค่ำ คุณจะมาลงเรียนกับภาคเช้าก็ได้ ถ้าเนื้อหาในช่วงนั้นตรงกัน ก็จะต้องเช็คกับทางโรงเรียนดูก่อน และเช่นกัน ช่วงที่เรียนฝึก clinical ถ้าคุณเรียนภาค เช้า หรือภาคค่ำแล้วยังรู้สึกว่าอยากได้รับการฝึกเพิ่ม ก็สามารถ จะเข้าไปเรียนเพิ่มเติมได้ อย่างที่ลงเรียนนี้จะลงเรียนภาคเช้า บางวันเราก็จะเห็น นักเรียนกะกลางคืน มาเรียนรวมกันพวกเราด้วย ก็ดีเหมือนกันค่ะ ได้เพื่อนเพิ่ม อาจารย์ผู้สอนก็ใจดี  มีเวลาพักทานข้าวกลางวัน ครึ่งชั่วโมง ให้คุณเตรียมอาหารไปเลย เพราะที่โรงเรียนจะมีไมโครเวฟให้วอร์ม นักเรียนส่วนใหญ่ก็เตรียมอาหารไปทานกันเอง อย่าลืมเตรียมน้ำดื่ม ด้วย ให้เตรียมของง่ายๆ ค่ะ เพราะเราและเพื่อนๆ ก็จะรีบๆทานกัน แล้วจะได้เอาเวลาไปทำการบ้าน  การบ้านนอกจากจะเป็นชีท ที่คุณควรจะไปรับมาทำก่อนเวลาเปิดเรียนแล้ว เมื่อคุณเข้าไปเรียนในวันแรก คุณก็จะได้การบ้านเพิ่มที่ต้องสรุปเนื้อหาของแต่ละบท อันนี้ก็อาจจะเป็นบทละ  1-2 แผ่นก็ได้ คืออาจารย์บอกว่าให้ใช้ภาษาที่สรุปแล้วคุณเข้าใจ ไม่ต้องก๊อปจากหนังสอก็ได้ แต่เราก็อย่างว่าล่ะภาษาปะกิตไม่แข็งแรง ก็เขียนตามหนังสือแปะๆ เลยค่ะ แต่ว่าไม่ได้เอาทั้งบท ก็สรุปเฉพาะหัวเรื่องหรือถ้าคุณจะเขียนเยอะกว่า สองแผ่น ก็ไม่เป็นไร เพราะก็มีรุ่นพี่บางคนก็เขียนหลายหน้าเป็นปึกๆ เลย เพราะนั่นก็จะเป็นการดี กับตัวคุณเอง คือเขียนและอ่านสรุปเนื้อหาไปในตัว 

หรือถ้าไม่ชอบเขียน ก็สามารถพิมพ์ในคอมพิวเตอร์แล้วปริ๊นไปส่งครูก็ได้ค่ะ

เรื่องเวลาเรียนเนี่ย ทางโรงเรียนเค๊าเช็คเวลาเรียนจริงๆ นะคะ ไม่ใช่จะเรียนๆ หยุดๆ เค๊าจะเช็คเวลาด้วย ถ้าขาดเรียน หรือป่วย 1-2 วันก็ได้ แต่ก็ต้องมีการบ้านหรือถึงเวลาสอบก็ต้องให้ผ่าน แต่ถ้าขาดเรียนเป็นอาทิตย์เลย หรือมากกว่า ก็อาจจะต้องไปเรียนตั้งต้นใหม่ใน ครอส ถัดไปค่ะ  โรงเรียนนี้ดีค่ะ พยายามจะช่วยอำนวยความสะดวกให้นักเรียนหลายๆ ทางให้โอกาส นักเรียนด้วย ถ้าสอบแล้วคะแนนไม่ถึง 70% คุณสามารถสอบใหม่ได้ อาจจะต้องไปนั่งสอบ ในคลาสอื่นก็ได้ ที่เวลานอกเหนือจากเวลาเรียนของเรา เพราะช่วงเรียนคุณก็จะต้องเรียนหนังสือด้วย สลับกับการ ดูวิดีโอด้วย  ซึ่งวิดีโอ เนี่ย ดูเยอะมากกกกกก ค่ะ  ไม่รู้จะบอกว่างัยล่ะ คือความรู้ทั้งน๊านนนนเลย อยู่ที่คุณจะเก็บไหว หรือเปล่า เค๊าอัดให้คุณเต็มๆ เลยค่ะ เฉพาะแค่ ค่าวิดีโอ ก็แพงกว่าค่าเทอมแล้วค่ะ คือบอกเลยว่าคุ้มค่ามาก  วันไหนที่มีสอบ แล้วต้องอ่านหนังสือดึก พอไปเรียนก็ง่วง ก็เป็นอันว่า ช่วงดูวิดีโอ ก็ให้วิดีโอ ดูเรา ซะงั้น เพราะไม่ไหวจริงๆ ง่วงนอน 

  ค่าเทอม


สิ่งที่คุณต้องเตรียมไว้ให้เรียบร้อยก่อนโรงเรียนเปิด 
Stethoscope กับ Blood Pressure cuff นี่ไม่ต้องซื้อค่ะ เพราะทางโรงเรียนมีให้ยืมใช้ 
ที่ตัดเล็บและผ้าเช็ดตัว คุณสามารถหยิบที่คุณใช้เองที่บ้านไปได้เลย ไม่ต้องซื้อใหม่ เพราะเวลาเรียน เราจะผลัดกันฝึกปฏิบัติกับคู่ของคุณ ก็จะใช้ของส่วนตัวของแต่ละคน ผ้า washcloths นี่อยากให้ซื้อไว้เองสัก 10 ผืน 

เวลาเรียนฝึกปฏิบัติ เราจะใช้ที่โรงเรียนมีให้ไว้สำหรับฝึก 
แต่เวลาฝึกที่ Apartment  ควรจะต้องมีไว้เองสำหรับฝึก Prometric skills 

การฝึก Prometric skills ที่บ้าน ถ้าไม่มี MANNEQUIN ให้หาเสื้อแขนยาว จะเป็นไซด์ผู้ชายก็ได้ แล้วให้สอดหมอนใส่ไว้ด้านใน ก็จะกลายเป็นลำตัว ส่วนแขนเสื้อก็ให้ม้วนเสื้อยืดทีละตัวทีละตัวใส่ลงไปในแขนทั้งสองข้าง ด้านล่างให้ใช้กางเกงยีนส์ หรือกางเกงขายาวอะไร ก็ได้ แล้วก็ใส่ผ้าเช็ดตัว หรือ ม้วนผ้าหรือเสื้ออะไรก็ได้ใส่ไปให้เต็มขาทั้งสองข้าง ก็ไปต่อติดกับช่วงลำตัวด้านบน แล้วใช้เข็มกลัด กลัดติดกัน ก็เรียบร้อยแล้ว
ทั้งยังสามารถ งอ แขน ขา ได้ ด้วย   



ตารางเรียน


หนังสือเรียน Nursing Assistant Care The Basics, Hartman Publishing, Inc. with Jetta Fuzy, MS, RN 
sixth edition ราคา $ 36.65 สามารถไปซื้อได้ที่โรงเรียนเลยค่ะ วันที่คุณไปสมัครเรียน 

ส่วนยูนิฟอร์ม จะเป็น Scrubs สีขาว สามารถซื้อได้ที่โรงเรียนเช่นกัน หรือจะสั่งซื้อที่ Amazon  หรือแว๊ปไซด์ที่ขาย Scrubs ก็ได้  ไม่แนะนำให้ไปหาซื้อตาม ห้าง เพราะจะหายากเนื่องจากเป็นสีขาว ให้ซื้อจากแว๊ปไซด์ดีกว่าสะดวกดี ส่วนรองเท้า โรงเรียนให้ใช้รองเท้าผ้าใบ สีขาว แต่ถ้าคุณมีรองเท้าผ้าใบสีอื่น โรงเรียนก็อนุญาติให้ใช้ได้เหมือนกันไม่ต้องซื้อใหม่ แต่ถ้าคุณมีรองเท้าผ้าใบสีขาวอยู่แล้วก็ใส่ไปได้เลยค่ะ

กราบขอบพระคุณผู้แต่งหนังสือเล่มนี้มากค่ะ🙏 คือชอบเนื้อหาและภาษาที่ใช้ อ่านแล้วเข้าใจสำหรับนักเรียนที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาพื้นฐาน บอกเลยว่าถ้าคุณลองอ่านดู คุณจะชอบเหมือนกันเลย👍  นอกจากหนังสือจะดีแล้ว ยังมีวิดีโอ ให้ฝึก Clinical ควบคู่ไปด้วย ส่วนพาสเวิดร์ ที่ใช้เข้าไปดูวิดีโอนั้น ทางโรงเรียนจะแจกเอกสารให้ในวันเปิดเรียนค่ะ



https://www.prometric.com/nurseaide/hi






ถ้าดูตามรายการ List of skills ที่เราจะต้องใช้สอบ ให้คุณฝึกซ้อมทุก สกิลเลยนะคะ เพราะเมื่อถึงเวลาสอบจริงๆ ไม่ทราบว่าคุณจะได้สอบสกิลไหน ให้สังเกตุดูด้านท้ายของแต่ละสกิล จะมีเวลาบอกไว้ เช่น สกิลที่ 18 Provide Resident a Partial Bed Bath and back Rub (17-19 min) เวลาที่ฝึกก็ตั้งเวลาไว้ 17 นาที หรือ พอฝึกบ่อยๆ จำได้ก็จะเร็วขึ้น สกิลนี้ก็ยากพอสมควร เวลาฝึกที่โรงเรียน อาจารย์จะมีป้ายกระดาน ใหญ่ๆ ซึ่งจะมีบอกว่า ชื่อสกิลอะไร อุปกรณ์ที่ต้องใช้มีอะไรบ้าง ก็จะมี ลิสเป็นข้อๆ  

ตารางเรียนที่ได้รับมาในวันแรก จะกำหนดไว้แล้วว่าวันไหนโรงเรียน จะสอนสกิลไหน ก่อนถึงวันที่จะฝึกสกิลที่โรงเรียน  ให้คุณไปดูในวิดีโอ ล่วงหน้ามาก่อน วิดีโอ ที่มาคู่กับหนังสือโดย โรงเรียนจะให้พาสเวิดร์  ให้เข้าไปดูก่อนล่วงหน้า 
Clinical Points เป็นสิ่งที่เราต้องจำ คือ เช่น Bed bath,   No soap in eyes, warm lotion, support arm, check temp water. etc 

พอมาถึง Procedure จะเป็นวิธีทำ เป็นขั้นตอน Bed Bath มีประมาณ 17 ข้อ ให้คุณพยายามจำ อาจารย์แนะนำว่าให้ฝึกแขน Procedure หลายๆๆๆๆๆครั้ง เพราะถึงเวลาสอบ จะตื่นเต้นแล้วจะนึกไม่ออกว่า สเต็บต่อไปจะทำอะไร อาจารย์แนะนำว่าให้ฝึกเขียนมากๆ แล้วเวลาฝึกปฏิบัติ ให้จับเวลา และให้ถ่ายวิดีโอตอนที่เราฝึกเองด้วย เพื่อจะได้นำมาดูและปรับปรุงแก้ไข  



   
7 Principles of Care ที่คุณจะต้อง ใช้ด้วยกันกับการฝึกและสอบทุกสกิล

อันนี้จะมีคะแนนให้ด้วยถ้าเราทำตามกฏทั้ง 7 ข้อนี้


Opening Procedure and Closing Procedure
ในตอนที่เราฝึกหัด ก็จะทำตามรายการในกระดาษเลยค่ะ  เมื่อถึงเวลาจะล๊อค ขาเตียง เราก็จะพูดว่า ฉันล๊อคขาเตียงVerbalize  แล้วเราก็จะเดินไปที่ล้อเตียงทั้ง สี่ด้านจริงๆ แล้วเวลาเราจะเดินไปหยิบของ เราก็จะต้องบอกว่า เราให้ call light แก่ Resident แล้วก็พูดว่า เราปรับเตียงลง Verbalize
  
การปรับเตียง ขึ้นหรือลง จะใช้ Verbalize  ก็ได้ค่ะ คุณพยาบาลที่มาสอบให้พวกเรา  ท่านก็แนะนำเราให้ใช้Verbalize ได้ค่ะในการปรับเตียง ขึ้นหรือลง เพราะพวกเราต้องรีบนะคะ เวลาสอบจะจับเวลาด้วยค่ะ ดังนั้นถ้าต้องปรับเตียง ขึ้นลงจริงๆ อาจจะไม่ทันกาล




ก็จะมีเอกสารอื่นๆที่โรงเรียนก็แจกให้ด้วย เช่น Care Plan และ  ETC 

สองวัน ก่อนวันสุดท้ายของการเรียนผู้ช่วยพยาบาลที่นี่ คือ  จะมี HR มาจาก Nursing home, และ Home health Care มาจากหลายบริษัท ไม่แน่ใจว่า 7 บริษัทหรือเกินนั้น จำไม่ได้ค่ะ  
เค๊ามาแนะนำหน่วยงานของเค๊า พร้อมทั้งให้ เราลงชื่อ เบอร์โทร แล้วบางบริษัท ก็จะส่งอีเมล์ ตำแหน่งงานว่างมาให้ทางอีเมล์ด้วย     ชอบตรงนี้แหล่ะค่ะ คือครบวงจรเลย เรียนเสร็จก็หางานให้นักเรียนเลย  
 




ถ้าใครที่จบ CNA แล้วอยากเรียนต่อ LPN ก็ลองติดต่อสอบถามดูจากรายการด้านล่างค่ะ

กราบขอบพระคุณ อาจารย์ผู้สอนทุกท่าน ที่สอนก็ดี เนื้อหาจัดเต็ม 🙏
ขอบพระคุณมิส April ที่ให้ช่วยจัดเตรียมความพร้อมและอุปกรณ์และอื่นๆอีกมากมาย ให้พวกเรา 💃
และขอบพระคุณเพื่อนร่วมชั้นทุกคนที่ต่างให้ความช่วยเหลือ ช่วยแนะนำซึ่งกันและกัน🙏
ขอบคุณตัวเราเอง💖 ที่ตัดสินใจลงทะเบียนเรียน คลาสนี้ เนื้อหาบางอย่างทำให้เข้าใจอะไรๆมากขี้น🙏
ขอบคุณสามี ที่ขับรถ ไปส่งบางวัน🙏
ขอบคุณรถเมล์สาย 1, 1L ที่ได้นั่งไปกลับ 🙏
ขอบคุณ ร้าน ชานมไข่มุกที่รสชาดอร่อยถูกใจ  และชอบข้อความที่คุณแปะไว้ข้างร้าน 👍
ขอบคุณร้าน ขาย crispy roll ข้างป้ายรถเมล์ เล็กๆ แต่อร่อยดี👍
กราบขอบพระคุณเงินที่ได้จากการทำงานที่ Liliha Bakery- Noi thai restaurant ที่เป็นบันไดให้ฉันได้มีการศึกษา และใช้จ่ายในครอบครัว🙏
กราบขอบพระคุณ วิดีโอ ยูทูป TX CNA Skills ,Nurse Jar ,Wonder Health Career Institute , และช่องอื่นๆ ETC ที่ดูเพิ่มเติมในระหว่างการฝึก🙏
กราบขอบพระคุณ คุณพยาบาล ที่มาสอบ Prometric CNA ให้พวกเราค่ะ 🙏

กราบขอบพระคุณ คลาส CNA ที่ Houston Community College และกราบขอบพระคุณอาจารย์ผู้สอนทั้งสองท่าน อาจารย์ทำให้คลาสสนุกและผูกมิตรให้นักเรียนทุกคนมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อกัน กราบขอบพระคุณโดนัทอร่อยๆ ที่อาจารย์นำมาแจกให้ตอนเช้าๆ ค่ะ 🙏💖 
กราบขอบพระคุณ HR nursing home and home health care ที่มาที่โรงเรียน give more opportunity for us.🙏

วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

บทสวดพระคาถา ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก ต้นฉบับเดิม


                              บทสวดพระคาถา  ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก ต้นฉบับเดิม🙏🙏🙏


พิธีไหว้พระและสวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก

           ก่อนเข้าห้องบูชาพระ ควรอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดและนุ่งห่มให้เรียบร้อย เข้านั่งที่ด้วยความสำรวมกายใจ ตั้งจิตให้แน่วแน่เพ่งตรงยังพระพุทธรูป ระลึกถึงพระรัตนตรัย ค่อยกราบ ๓ หน แล้วสงบจิตระลึกถึงคุณบิดา มารดา ซึ่งเป็นพระอรหันต์ของบุตร จากนั้นจึงจุดเทียนบูชา ให้จุดเล่มด้านขวาของพระพุทธรูปก่อนแล้วจุดเล่มด้านซ้าย ต่อไปจุดธูป ๓ ดอก เมื่อจุดเทียนธูปที่เครื่องสักการบูชาเสร็จแล้ว เอาจิต(นึกเห็น) พระพุทธองค์มาเป็นประธาน พึงนั่งคุกเข่าประนมมือตั้งใจบูชาพระรัตนตรัย นมัสการพระรัตนตรัย นมัสการพระพุทธเจ้า และนมัสการพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ แล้วจึงเจริญภาวนายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก จะเพิ่มความขลังและศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น จะเกิดพลังจิตและมีความมั่นคงในชีวิต พึงทราบด้วยว่า การเจริญภาวนาทุกครั้งต้องอยู่ในสถานที่อันสมควร ขอให้ทำจิตตั้งมั่นในบทสวดมนต์ จะมีเทพยดาอารักษ์ทั้งหลายร่วมอนุโมทนาสาธุการ ขออย่าได้ทำเล่นจะเกิดโทษแก่ตนเอง

                                                        🌺🌼🍀🌷🍀🌼🌺





                                        ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก ฉบับเดิม

๑. อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง วะตะ โส ภะคะวา.
อิติปิ โส ภะคะวา สัมมาสัมพุทโธ วะตะ โส ภะคะวา.
อิติปิ โส ภะคะวา วิชชาจะระณะ สัมปันโน วะตะ โส ภะคะวา.
อิติปิ โส ภะคะวา สุคะโต วะตะ โส ภะคะวา.
อิติปิ โส ภะคะวา โลกะวิทู วะตะ โส ภะคะวา.

อะระหันตัง สะระนัง คัจฉามิ.
อะระหันตัง สิระสา นะมามิ.
สัมมาสัมพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.
สัมมาสัมพุทธัง สิระสา นะมามิ.

วิชชาจะระณะสัมปันนัง สะระณัง คัจฉามิ.
วิชชาจะระณะสัมปันนัง สิระสา นะมามิ.

สุคะตัง สะระณัง คัจฉามิ.
สุคะตัง สิระสา นะมามิ.
โลกะวิทัง สะระณัง คัจฉามิ.
โลกะวิทัง สิระสา นะมามิ.

๒. อิติปิ โส ภะคะวา อะนุตตะโร วะตะ โส ภะคะวา.
อิติปิ โส ภะคะวา ปุริสะทัมมะสาระถิ วะตะ โส ภะคะวา.
อิติปิ โส ภะคะวา สัตถา เทวะ มะนุสสานัง วะตะ โส ภะคะวา.
อิติปิ โส ภะคะวา พุทโธ วะตะ โส ภะคะวา.

อะนุตตะรัง สะระนัง คัจฉามิ.
อะนุตตะรัง สิระสา นะมามิ.
ปุริสะทัมมะสาระถิ สะระณัง คัจฉามิ.
ปุริสะทัมมะสาระถิ สิระสา นะมามิ.
สัตถา เทวะมะนุสสานัง สะระณัง คัจฉามิ.
สัตถา เทวะมะนุสสานัง สิระสา นะมามิ.
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.
พุทธัง สิระสา นะมามิ.

๓. อิติปิ โส ภะคะวา รูปะขันโธ อะนิจจะลักขะณะปาระมิ จะ สัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา เวทะนาขันโธ อะนิจจะลักขะณะปาระมิ จะ สัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา สัญญาขันโธ อะนิจจะลักขะณะปาระมิ จะ สัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา สังขาระขันโธ อะนิจจะลักขะณะปาระมิ จะ สัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา วิญญาณะขันโธ อะนิจจะลักขะณะปาระมิ จะ สัมปันโน.

๔. อิติปิ โส ภะคะวา ปะฐะวี ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา อาโป ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา เตโช ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา วาโย ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา อากาสะ ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา วิญญาณะ ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา จักกะวาฬะ ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.

๕. อิติปิ โส ภะคะวา จาตุมมะหาราชิกา ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา ตาวะติงสา ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา ยามา ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา ตุสิตา ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา นิมมานะระตี ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา ปะระนิมมิตะวะสะวัตตี ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา กามาวะจะระ ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา รูปาวะจะระ ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา อรูปาวะจะระ ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา โลกุตตะระ ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.

๖. อิติปิ โส ภะคะวา ปะฐะมะฌานะ ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา ทุติยะฌานะ ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา ตะติยะฌานะ ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา จะตุตถะฌานะ ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา ปัญจะมะฌานะ ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.

๗. อิติปิ โส ภะคะวา อากาสานัญจายะตะนะ ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา วิญญาณัญจายะตะนะ ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา อากิญจัญญายะตะนะ ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา เนวะสัญญานา สัญญายะตะนะ ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.

๘. อิติปิ โส ภะคะวา โสตาปัตติมัคคะ ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา สะกิทาคามิมัคคะ ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา อะนาคามิมัคคะ ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัตตะมัคคะ ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา โสตาปัตติผะละ ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา สะกิทาคามิผะละ ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา อะนาคามิผะละ ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัตตะผะละ ธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.

๙. กุสะลาธัมมา อิติปิ โส ภะคะวา อะอา ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ชมภูทีปัญจะ อิสสะโร กุสะลาธัมมา นะโม พุทธายะ นะโมธัมมายะ นะโมสังฆายะ ปัญจะพุทธา นะมามิหัง อาปามะจุปะ ทีมะ สังอังขุ สังวิธาปุกะยะปะ อุปะสะชะสะเห ปาสายะโส ฯ

โสโส สะสะ อะอะอะอะ นิ เตชะ สุเนมะ ภูจะนาวิเว อะสังวิสุโลปุสะพุภะ อิสะวาสุ, สุสะวาอิ, กุสะลาธัมมา จิตติ วิอัตถิ.

อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง อะอา ยะวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ สาโพธิ ปัญจะ อิสสะโร ธัมมา.

กุสะลาธัมมา นันทะวิวังโก อิติ สัมมาสัมพุทโธ สุคะลาโน ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.


๑๐. จาตุมะหาราชิกา อิสสะโร กุสะลา ธัมมา อิติ วิชชาจะระณะสัมปันโน อุอุ ยาวะ ชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.

ตะวะติงสา อิสสะโร กุสะลาธัมมา นันทะ ปัญจะสุคะโต โลกะวิทู มะหาเอโอ ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.

ยามา อิสสะโร กุสะลาธัมมา พรหมา สัททะ ปัญจะสัตตะ สัตตาปาระมี อะนุตตะโร ยะมาะกะขะ ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.

ตุสิตา อิสสะโร กุสะลาธัมมา ปุยะปะกะ ปุริสะทัมมะสาระถิ ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.

นิมมานะระตี อิสสะโร กุสะลาธัมมา เหตุโปวะ สัตถา เทวะมะนุสสานัง ตะถา ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.

ปะระนิมมิตะวะสะวัตตี อิสสะโร กุสะลาธัมมา สังขาระขันโธ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา รูปะขันโธ พุทธะปะผะ ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.

พรหมา อิสสะโร กุสะลาธัมมา นัตถิปัจจะยา วินะปัญจะ ภะคะวาะตา ยาวะ นิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ ฯ

๑๑. นะโมพุทธัสสะ นะโมธัมมัสสะ นะโมสังฆัสสะ พุทธิลาโลกะลา กะระกะนา เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหนตุ หุลู หุลู หุลู สะวาหายะ

นะโมพุทธัสสะ นะโมธัมมัสสะ นะโมสังฆัสสะ วิตติ วิตติ วิตติ มิตติ มิตติ มิตติ จิตติ จิตติ วัตติ วัตติ มะยะสุ สุวัตถิ โหนตุ หุลู หุลู หุลู สะวาหายะ.

อินทะสาวัง มะหาอินทะสาวัง พรหมสาวัง มะหาพรหมสาวัง จักกะวัตติสาวัง มะหาจักกะวัตติสาวัง เทวาสาวัง มะหาเทวาสาวัง อิสีสาวัง มะหาอิสีสาวัง มุนีสาวัง มะหามุนีสาวัง สัปปุริสะสาวัง มะหาสัปปุริสะสาวัง พุทธะสาวัง ปัจเจกะพุทธะสาวัง อะระหัตตะสาวัง สัพพะสิทธิวิชชาธาระณังสาวัง สัพพะโลกา อิริยานังสาวัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหนตุ.

สาวัง คุณัง วะชะ พะลัง เตชัง วิริยัง สิทธิ กัมมัง ธัมมัง สัจจัง นิพพานัง โมกขัง คุยหะกัง ทานัง สีลัง ปัญญา นิกขัง ปุญญัง ภาคะยัง ยะสัง ตัปปัง สุขัง สิริ รูปัง จะตุวีสะติเทสะนัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหนตุ หุลู หุลู หุลู สะวาหายะ ฯ

๑๒. นะโมพุทธัสสะ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา รูปะขันโธ เวทะนาขันโธ สัญญาขันโธ สังขาระขันโธ วิญญาณะขันโธ นะโม อิติปิ โส ภะคะวา.

นะโมธัมมัสสะ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา รูปะขันโธ เวทะนาขันโธ สัญญาขันโธ สังขาระขันโธ วิญญาณะขันโธ นะโมสวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม.

นะโมสังฆัสสะ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา รูปะขันโธ เวทะนาขันโธ สัญญาขันโธ สังขาระขันโธ วิญญาณะขันโธ นะโม สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ วาหะปะริตตัง.

นะโมพุทธายะ มะอะอุ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา ยาวะตัสสะ หาโย โมนะ อุอะมะ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา อุอะมะอะวันทา นะโมพุทธายะ นะอะกะติ นิสะระณะ อาระปะขุทธัง มะอะอุ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา ฯ

                                                         🙏🙏🙏

                                 อานิสงส์การสวดและภาวนายอดพระกัณฑ์ไตรปิฏก

           ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกเป็นพุทธมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ไว้สำหรับสวดและภาวนาทุกเช้าค่ำ เพื่อความสวัสดีเป็นศิริมงคลแก่ผู้สาธยายอันเป็นบ่อเกิด มหาเตชัง มีเดชมาก มหานุภาวัง มีอานุภาพมาก และมีลาภยศสุขสรรเสริญ ปราศจากทุกข์โศกโรคภัย อุปัทวันตราย และความพินาศทั้งปวง ตลอดทั้งหมู่มารร้าย และศัตรูคู่อาฆาตไม่อาจแผ้วพาลได้

           อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง เป็นต้น ถ้าสาธยายหรือภาวนาแล้วจะนำมาซึ่งลาภยศ สุขสรรเสริญและปราศจากอันตรายทั้งปวง ตลอดทั้งเป็นการระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า เป็นการเจริญพระพุทธานุสสติวิปัสสนากัมมัฏฐาน เป็นแดนเกิดของสมาธิอีกด้วย

           อะระหันตัง สะระณัง คัจฉามิ เป็นต้น เมื่อสาธยายหรือภาวนาแล้ว เป็นการมอบกายถวายชีวิตไว้กับองค์พระพุทธเจ้า หรือเอาองค์พระพุทธเจ้าเป็นตาข่ายเพชร คอยปกป้องคุ้มครองรักษาชีวิตให้ปราศจากเวรภัย

          อิติปิ โส ภะคะวา รูปะขันโธ เป็นต้น เมื่อสาธยายหรือภาวนาแล้ว ขออาราธราบารมีธรรมของพระพุทธองค์สิงสถิตในเบญจขันธ์ของเรา เพื่อให้เกิดพระไตรลักษณาญาณ อันเป็นทางของนิพพานสืบต่อไป

          อิติปิ โส ภะคะวา ปะฐะวีสะมาธิญาณะสัมปันโน เป็นต้น เมื่อสาธยายหรือภาวนา ขออำนาจสมาธิญาณของพระพุทธองค์เป็นไปในธาตุ ในจักรวาล ในเทวโลก หรือในกามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ และในโลกุตตรภูมิ ขอจงมาบังเกิดในขันธสันดานของข้าพเจ้า หรือเรียกว่าเป็นการเจริญสมถภาวนา อันเป็นบ่อเกิดเแห่งรูปฌาน อรูปฌาน อภิญญา เป็นการเจริญวิปัสสนา อันเป็นบ่อเกิดแห่งมรรค ผล นิพพาน เป็นการหลุดพ้นจากกิเสสทั้งปวง ฯ

          กุสะลาธัมมา อิติปิ โส ภะคะวา เป็นต้น เป็นการสาธยายหัวใจพระวินัยปิฏก หัวใจพระสุตตันตปิฎก หัวใจพระอภิธรรมปิฎก และเป็นหัวใจ พระพุทธเจ้า ๕๐๐ ชาติ พระพุทธเจ้า ๑๐ ชาติ และหัวใจ อิติปิโส ตลอดทั้งหัวใจอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก เมื่อภาวนาแล้วจะนำลาภ ยศฐาบรรดาศักดิ์ ทั้งอายุ วรรณะ สุขะ พละ และจะป้องกันสรรพภัย ต่างๆ เพื่อให้เกิดความสวัสดิ์มงคลแก่ตนและบุตรหลานสืบไป

           อินทะสาวัง มะหาอินทะสาวัง เป็นต้น เมื่อสาธยายหรือภาวนาเสร็จ มีทั้งอำนาจ ตบะ เดชะ ความสุข ความเจริญรุ่งเรืองทุกประการ

           พระอริยสงฆ์เจ้าทั้งหลายต่างก็กล่าวเน้นว่า พระพุทธศาสนาเป็นของจริงของแท้ ที่เรายึดมั่นเป็นหลักชัยแห่งชีวิตได้ ยิ่งมีการปฏิบัติธรรม ทั้งทาน ศีล ภาวนา สม่ำเสมอ ความสุข ความเจริญเกิดขึ้นแก่ตนแน่อย่าสงสัย การรวยทรัพย์สินเงินทองไม่ได้ก่ออานิสงส์ไม่เท่ากับรวยบุญรวยกุศล ซึ่งจะบังเกิดความสุขความเจริญในปัจจุบัน และตามติดวิญญาณไปทุกภพทุกชาติด้วย

           ฉะนั้น ชาวพุทธทั้งหลาย จงเจริญภาวนา ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกทุกเช้าค่ำเถิด จะบังเกิดความสวัสดิ์มงคลแก่ตนเองและครอบครัยว ให้มีความร่มเย็นเป็นสุขโดยทั่วหน้า


                                                    
                                                           🌺🌼🍀🌷🍀🌼🌺


ขอน้อมกราบนมัสการ คุณพระศรีรัตนตรัย ด้วยความเคารพและศรัทธา เจ้าค่ะ 🙏🙏🙏
ขอน้อมกราบขอบพระคุณ คณะผู้จัดสร้างหนังสือสวดมนต์ ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร  ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ และสำนึกในพระคุณ ด้วยจิตศรัทธา เจ้าค่ะ🙏🙏🙏




























https://th.wikipedia.org/wiki/วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร#/media/ไฟล์:Phra_Prathan_Yim_Rub_Fa_(II).jpg

วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2564

อรรถประวัติ นิยายธรรม หญิงสองร่างนางสองชาติ โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม

 



อรรถประวัติ นิยายธรรม หญิงสองร่างนางสองชาติ  โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม

น้อมกราบนมัสการ พ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม   สาธุ สาธุ สาธุ  เจ้าค่ะ 🙏🙏🙏
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุบุญ ต้นเรื่องนิยายธรรม คุณยายสอิ้งและคุณตาปุ่น กราบสาธุค่ะ🙏🙏🌷🌸🌹🌺

              เรื่องมาสร้างกุฏิกรรมฐานโดยหญิงสองร่างนางสองชาติ อาตมาเคยคิดว่ามันจะมีอย่างไรเรื่องนรกสวรรค์ แต่มีประสบการณ์กับที่วัดเรานี่เอง เมื่อตอนที่อาตมาอยู่ที่วัดนี้ พ.ศ. ๒๔๙๙ พอดี ๒๕๐๐ กุฏิกรรมฐานไม่มีเลย ยังไม่ได้มาเริ่ม เริ่มมาจากที่อื่น สอนกรรมฐานมาเมื่อ ๒๔๙๕ สอนมานาน เมื่อสอนแล้ว มาอยู่ที่วัดนี้ มาเป็นเจ้าอาวาส มาประสบการณ์กับหญิงสองร่างนางสองชาติ จึงได้สร้างกฏิกรรมฐานต่อเนื่องมาตามลำดับจนบัดนี้

            เล่าถึงประวัติ นายปุ่น นางสอิ้ง นายปุ่นบวช ๒-๓ พรรษา สวดปาติโมกข์ได้รุ่นเก่าแก่นานมาแล้ว แล้วเจริญกรรมฐาน เมื่อสึกแล้วก็มาแต่งงานกับแม่สอิ้ง อยู่ด้วยกันมีลูก ๒ คน ตาปุ่นเป็นคนรำ่รวย อยู่ในอำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ นายปุ่นนี้จิตใจเป็นมหากุศลสวดมนต์ไหว้พระตลอด แต่นางสอิ้งใจบาปหยาบช้า มีร่างกายที่เขาเขียนรูปไว้ นุ่งผ้าโจงกระเบน เสื้อเตี่ยว มีผมก็ทัดหู มีสร้อยใส่ ไปบ้านใครต้องลักขโมยตลอดเวลา แล้วมาวันหนึ่ง นางสอิ้งไปช่วยงานหลานตาปุ่นบวชในพระศาสนา นางสอิ้งก็ลักทอง ลักสร้อยแล้วก็บุ้ยใบ้ไปโทษหลานตาปุ่นที่ยากจนกว่า ตีเสียหัวร้างข้างแตก แล้วยัดเยียดให้เป็นคนขโมย แท้จริงตัวที่เป็นขโมยแท้ๆ ไม่มีใครเชื่อว่านางสอิ้งนี่เป็นขโมย เพราะเป็นคนรวย มีจิตใจเป็นอกุศลเป็นอย่างนี้ ทำบาปหยาบช้าเหลือเกิน สวดมนต์ก็ไม่เป็น นางสอิ้งอ่านหนังสือไม่ออก ตาปุ่นสวดคนเดียวแทน ตาปุ่นเป็นสามีที่ดีของศรีภรรยา ไม่มองภรรยาในแง่ร้ายแต่ประการใด ไม่มีการนินทาลูกเมียนี่ประการหนึ่ง

             ประการที่สอง เขานิยมการไปทำไร่ไถนา โฉนดไม่มี ใครอยากจะมีขยันขันแข็งก็ไปถากถางเอาเอง บุกป่า ฝ่าดงพงไพรมีนาอยู่หลายร้อยไร่ เพราะด้วยความขยัน พ่อ แม่ของเขาทำสืบเนื่องกันมาตามลำดับ มีบ้านทรงไทย ๒ หลังแฝด และเรือนหออีกหลังหนึ่ง มีครบทุกรายการ แล้วก็ทุกปีที่ทำนาไปปลูกโรงนาอยู่กลางทุ่งกลางนา ในเมื่อเป็นเช่นนี้เขามีลูกจ้าง ๕ คน จ้างมาจากภาคอีสานคนละ ๒๐ บาท ข้าวคงจะเกวียนละ ๔๐ หรือ ๘๐ จำไม่ได้มันนานแล้ว เวลาไปอยู่โรงนา ตาปุ่นก็ต้องเฝ้าบ้านอยู่กะแม่ แต่เมียเป็นคนจักการเสร็จไปออกไปโรงนา พอเกี่ยวข้าวเกี่ยวปลาเสร็จ แล้วเมื่อก่อนนี้มีพระแทะมีเกวียน เวลานวดข้าวเสร็จแล้วก็ใช้สากเอา ใช้ลมกลางทุ่ง เวลาก่อนจะนวดก็ใช้ลูกจ้างไปลักข้าวเขาตามโน่นตามนี่มาใส่ ทุกปีลักข้าวเขามาใส่ บาปมาก ไม่มีใครจับได้ เพราะเนื่องจากว่า ตาปุ่น นางสอิ้ง ในหมู่บ้านตำบลนั้น เป็นทุนให้แก่คนอื่นอีกหลายทุนด้วยกัน สามีก็ไม่ทราบว่าภรรยาเป็นขโมย

            แล้วปีสุดท้ายนางสอิ้งมีทอง ๒ เส้น สายสะพานหนักเส้นละ ๘ บาท ปีนั้นกำลังตั้งครรภ์ขึ้นอีก ก็ใจคอหงุดหงิดสังหรณ์ในใจว่าปีนี้โรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนออกไปทำนาก็มีโรงนาปลูกไปประจำ จนเกี่ยวข้าวขายเรียบร้อย นางสอิ้งเอาทองไปฝังในโรงนา  โดยที่คิดอกุศลกลัวลูกจ้างจะลัก อยู่บ้านกลัวจะไม่ปลอดภัย แล้วก็ใช้วิธีอย่างเดิมให้ลูกจ้างไปลักข้าวอีก ยังไม่ทันนวด พอดีเกิดคลอดบุตรตายทั้งกลมคานา ตายแล้ว ตาปุ่นก็จัดงานศพ

           นางสอิ้งเล่าว่ารู้หมดไปตกนรก ๑๐๐​ ปี เวลานั้นถึงวันโกนวันพระ มีพระมาลัยมาโปรดสั่งสอนในวันพระ แล้วในเมืองนรกเขาให้สวดมนต์ไหว้พระ นางสอิ้งไม่เคยสวดได้เมื่อตอนอยู่ในภพมนุษย์ นางสอิ้งสวดได้หมด ทำวัตรเช้าเย็นฯ พระมาลัยได้โปรด เทศน์เรื่องกรรมในโลกของนรกนั้น ในภพนั้นได้สวดมนต์ไหว้พระเจริญวิปัสสนากรรมฐานเหมือนกันสองอย่างนั้น

            กล่าวถึงภพมนุษย์ ตาปุ่นก็คิดถึงลูกเมีย เมื่อนวดข้าวเสร็จเรียบร้อยก็ขายส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็เอาไปก่อพระเจดีย์ทรายข้าวเปลือกอุทิศส่วนกุศลให้แม่สอิ้งศรีภรรยาของตน พออุทิศส่วนกุศลให้แล้วก็ได้ความว่าในโลกนรกนั้นได้อภัยโทษ นางสอิ้งได้ทำคุณงามความดีสวดมนต์ไหว้พระในเมืองนรก คงจะเป็นยมบาลบอกเหตุการณ์ให้นางสอิ้งฟังว่า สามีของเธอได้เอาข้าวที่ร่วมงานกันเอามาก่อพระเจดีย์ทรายข้าวเปลือกในวัดและอุทิศส่วนกุศลมาให้เธอก็ขอให้อภัยโทษเธอ ๒๐ ปี เหลือ ๘๐ ปี

            ต่อมานายปุ่น เห็นเรือนหอคิดถึงภรรยาทุกวัน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องการเอาเรือนหอไปถวายวัด เอาไปปลูกกุฏิเป็นทรงไทยต่อไปตามลำดับ สมภารเจ้าวัดก็เห็นด้วย นายปุ่นก็สร้างกุฏิ เมื่อเสร็จแล้วก็ฉลองกันใหญ่ มีหมอลำ และมีหนังตลุง ๒ อย่าง ฉลองวันไหนรู้หมด ฉลองเสร็จแล้วก็ถวายเป็นการสงฆ์ให้แก่พระสงฆ์ทุกสารทิศทั้งที่มาจากทิศใดก็ตาม ถวายเป็นสังฆทานอุทิศแด่พระสงฆ์ เรียบร้อยแล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้แก่ภรรยาของตน ก็ได้ลดอภัยโทษอีก ๒๐ ปี เหลือ ๖๐ ปี

            นายปุ่นคิดว่าลูกก็โตแล้ว พ่อจะบวชในพระศาสนา บวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ภรรยาของตนต่อไป สึกขาลาเพศแล้วก็แต่งงานใหม่ ก็ได้ปรึกษาสมภารๆ ก็ว่าไม่ต้องสวดปาติโมกข์หรอก เคยสวดปาติโมกข์ได้ บวชแล้วก็ให้ถือธุดงควัตรปฏิบัติฉันข้าวเวลาเดียวอยู่ในป่าช้า เจริญวิปัสสนากรรมฐานเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ภรรยาของตนต่อไป ตาปุ่นก็ได้บวชในพระศาสนาอยู่ ๑ พรรษา เจริญวิปัสสนากรรมฐานอโหสิกรรม และอุทิศส่วนกุศลให้ภรรยา ก็ไม่ได้ทราบว่าภรรยาไปตกนรก หรือขึ้นสวรรค์ประการใด พอออกพรรษาก็กราบลาสมภารสึกขาลาเพศไป แล้วไปแต่งงานกับภรรยาใหม่ต่อไป เมื่อสึกไปแล้วกุศลผลบุญก็ไปถึงแม่สอิ้งในเมืองนรก

             ยมบาลก็ให้อภัยโทษอีก ๔๐ ปี บอกว่าสามีของเธอได้บวชในพระศาสนา ได้เจริญวิปัสสนากรรมฐานอุทิศส่วนกุศลมาขอให้อภัยโทษ ๔๐ ปี เหลือ ๒๐ ปีนี้ เพราะเธอมีโทษ หนึ่งลักทองแล้วโยนความผิดไปให้คนอื่น สองที่บาปหนักคือ ลักข้าวให้อภัยไม่ได้

             เธอจะเอาอย่างนี้ไหม ก็เห็นว่าเธอมีคุณงามความดีสวดมนต์ไหว้พระเป็นหัวหน้าในเมืองนรกเจริญกรรมฐานในที่สุด จะให้กลับไปอยู่เมืองมนุษย์ ๒๐ ปี ไปใช้หนี้ผัว และจะต้องไม่กลับมาที่นี่ แต่ให้สัญญานะเจ้าจะต้องรักษาอุโบสถทุกวันพระ ทำได้หรือไม่ ประการที่สอง จะต้องไปสร้างกุฏิกรรมฐานเงิน ๑ ชั่ง ไม่เกินไม่ขาดเพื่ออุทิศส่วนกุศล มิฉะนั้นจะต้องกลับมาเมืองนรกอีก อย่างนี้นางก็รับปาก

             ก็มาเกิดใกล้บ้านตาปุ่น ประมาณ ๒ กิโลกว่าๆ มาเกิดเป็นลูกตาแป๊ะแก่ อยู่คนละตำบล แต่รู้จักกัน แปะแก่ได้ภรรยามา ๑๕ ปี ไม่มีบุตร ภรรยาสาว แต่ผัวก็ ๕๐ กว่าแล้ว แต่เกิดมามีบุตรตอน ๑๕​ ปีผ่านไป บุตรนั้นได้แก่นางสอิ้งนั้นเอง นางสอิ้งคนเดิมรูปร่างเหมือนยักษ์ขะหมูขีมีไผขี้แเมลงวันเม็ดเบ้อเร่อ แล้วจอนตัดทัก ใบหู ดำปี๋ นุ่งผ้าโจงกระเบน ผอมเกร็ง อาตมารู้เพราะดูรูปที่เขาแต่งงานกับตาปุ่น

            เมื่อเป็นเช่นนี้ พอ ๑๑ ปีผ่านก็รำลึกชาติได้ เตี่ยหนูนี่ไม่ใช่ลูกนะ ฉันนี้เป็นนางสอิ้งภรรยาตาปุ่น ตำบนโน้น เตี่ยก็ยังไงกันก็ไปปรึกษาตำบลโน้น ตำบลนี้ เอาอย่างนี้ให้มันลืมเรื่องเสียว่าจะจริงเท็จยังไงไม่ทราบ ก็เอาไข่หลงรัง ไข่ที่ตายโคม ไข่ข้าวเอามาต้มให้กินมันก็ไม่ลืม

           พออายุถึง ๑๕ ปีแล้ว ให้พาไปบ้านตาปุ่น เตี่ยอดรนทนไม่ได้ก็พาไป อายุ ๑๕ ปีแล้ว รูปร่างสวยขาว เพราะเป็นลูกเจ๊ก แต่วิญญาณของนางสอิ้งคนเดิม พอไปถึงบ้านตาปุ่น ก็ถามว่าพี่ปุ่นจำฉันได้มั๊ย ตาปุ่นก็อายุ ๗๘ แล้ว ฉันสอิ้งยังไงเล่า ตาปุ่นเข้าใจผิดคิดว่าไอ้ตาแปะนี่คงจะเสี้ยมสอนลูก ให้ว่าเป็นนางสอิ้งจะมาเอาสมบัติ เพราะตาปุ่นแกรวย ตาแปะแกก็ไม่ใช่คนรวย พอมีพอใช้ มีอาชีพทางแลกข้าว ขายโชห่วย ก็เล่าให้ฟัง ตาปุ่นก็ไม่ยอมรับเชื่อ พี่ปุ่นจำได้มั๊ยว่าตอนอยู่กับพี่ปุ่นมาตอนบวชหลาน ฉันนี้เป็นคนลักทอง แล้วไปโทษหลานข้อเท็จจริงฉันเป็นคนเอา เพิ่งมารู้ความจริงในชาตินี้ ยังไม่เชื่ออาจเป็นการเสแสร้งแกล้งเล่าก็ได้

              เรื่องที่ ๒ เล่าต่อไปว่า "พี่ปุ่นตอนที่ฉันออกลูกตายทั้งกลมนั้น ฉันไปตกนรกอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี พี่ปุ่นเอาข้าวไปถวายวัด ก่อพระเจดีย์ทรายข้าวเปลือก ฉันก็ได้ลดโทษมาตามลำดับ นอกเหนือจากนั้นก็เอาเรือนหอไปถวายวัด ฉันก็รู้ในวันที่เท่านั้นได้อุทิศส่วนกุศล ยังมีหมอลำ และหนังตะลุงในวันนั้น

เรื่องต่อไป พี่ปุ่นได้บวชในพระศาสนา ฉันก็ได้รับส่วนบุญกุศล ลดโทษไปตามอันดับดังที่กล่าวแล้ว นอกเหนือจากนั้น ที่ฉันมาเกิดใหม่นี้ ได้ลดโทษานุโทษมาแล้ว แต่ ๒๐ ปี ลดไม่ได้เนื่องจากสร้างบาปลักทอง ลักข้าวให้อภัยไม่ได้ ฉันก็ต้องกลับมาอยู่กับพี่ปุ่นต่อไป แล้วให้สัญญากับทางนรกมาว่า ให้รักษาอุโบสถทุกวันพระ สวดมนต์ไม่ขาดและต้องไปสร้างกุฏิกรรมฐานด้วยเงินหนึ่งชั่ง"

                ตาปุ่นรับฟังเฉยๆ ยังเชื่อแน่ไม่ได้ แม่สอิ้งในร่างใหม่จึงถามต่อไปว่า "พี่ปุ่น ทองหมั้นของฉันยังอยู่มั๊ย" "ทองอะไร" " มีสายสะพาย ๒ เส้น เส้นหนักละ ๘ บาท" ตาปุ่นก็นึกไม่ออก ไม่ทราบว่ายังอยู่มั๊ย แต่มันไม่มีแล้วบัดนี้ จำความไม่ได้ นางสอิ้งก็เล่าต่อไปว่า "พี่ปุ่นโรงนายังอยู่มั๊ย" "โรงนาไม่มีอยู่แล้ว เพราะนาก็แบ่งให้ลูกเก่าหมดแล้ว มีเขยมีสะใภ้ไปหมดแล้ว" นางสอิ้งบอกว่าจำได้เลาๆ "ต้นกระทุ่มมีมั๊ย" "ยังอยู่" ก็พากันออกไปที่นาเดินออกไปที่นาหลายกิโล จ้างเขาขุด ในที่สุดได้สร้อยคืนมา ๒ เส้น หนักเส้นละ ๘ บาท ตาปุ่นจึงยอมรับว่าเป็นนางสอิ้งจริง ในที่สุดก็ไม่กลับไปอยู่กะเตี่ยแม่ อยู่กะตาปุ่นต่อไป













               แม่สอิ้งก็เล่าความให้อาตมาฟังว่า ๓ คนด้วยกัน ภรรยาใหม่ อายุ ๗๒ สามี ๗๘ ก็ปรึกษาปรองดองกันว่า ฉันรับคำมั่นสัญญาจะต้องไปสร้างกุฏิกรรมฐานให้ได้ สามคนนี้ก็เดินทางไปหาทางสร้างกุฏิกรรมฐาน เอาสร้อยไปด้วย ไปปากน้ำโพ ลงเรือแดงจากปากน้ำโพ มากรุงเทพ แสวงหาว่าที่ไหนมีสำนักกรรมฐานก็ให้เทวดาสนใจดลบันดาลสามคนนั้น ก็ลงเรือแดงมาขึ้นที่สิงห์บุรี อาตมาก็มาอยู่ที่วัดนี้ เขาก็ไปถามชาวตลาดว่า ที่ไหนเป็นสำนักวิปัสสนามีมั๊ย จังหวัดสิงห์บุรีนี้ เลยพอดีไปเจอญาติของโยมสุ่นหาบของไปขาย เขาก็เลยเล่าว่า อาตมาได้ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสที่วัดอัมพวันแล้ว ลองเดินทางไปถามดูว่าจะสร้างกุฏิกรรมฐานมั๊ย เห็นท่านสอนกรรมฐานมาช้านาน เลยสามคนก็ลงเรือเมล์ต่อจากนั้นก็มาขึ้นที่หน้าวัด ก็เดินเข้ามาหาอาตมาเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง

              อาตมาก็ตกใจข้อไหนรู้มั๊ย ว่าไปลักข้าว อาตมานี่ตัวลักข้าวมากกว่ายายสอิ้งอีก มันตกใจตอนเป็นเด็กเวลาโรงเรียนปิด อย่าลืมอาตมาไปกะยายเม้าๆ เป็นหมอตำแยเก่า ถามว่าป้าเก็บข้าวตกได้วันละเท่าไหร่ ได้วันละกระผีก แล้วเอ็งได้เท่าไหร่ ผมได้วันละ ๑๐ กว่าถัง เอ็งทำไมเก็บได้มากมายนัก ก็ยายไปเซ่อทำไมที่เป็นฟ่อนนี่ก็ใส่กระสอบเข้าซิ แล้วข้าวที่เขานวดไว้กลางทุ่งก็ใส่กระสอบเลย นี่ลักอย่างนี้ ลักมากกว่ายายสอิ้งอีก ถ้าหน้าข้าวต้องออกอย่างนี้ ตกใจแต่ไม่พูดอะไร นางสอิ้งมีประโยชน์ที่โบสถ์เก่าเวลาพระทำวัตรเขาเข้าไปด้วย มาค้างหลายคืน โยโส ภควา สวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็นได้ทั้งหมดดีกว่าพระ ได้มาจากเมืองนรก ตอนนั้น อายุ ๑๖ ปีแล้ว ตาปุ่น ๗๘ อาตมายังเย้าเลย นี่สอิ้งอยู่กะตาแก่ทำไมไม่อยู่กะหนุ่มดีกว่าเข้าท่ากว่า เพราะรูปร่างสวย มารยาทดี เปลี่ยนแปลงตามสภาพ

              ก็แม่สอิ้งได้สร้างกุฏิกรรมฐานข้างโบสถ์เป็นหลังแรก เขาบอกว่าสร้างแล้วต้องมีน้ำหล่อไม่ให้มดขึ้น อาตมาก็ทำเป็นน้ำหล่อเดี๋ยวนี้มาแปลงใหม่ สร้างเป็นหลังแรกของวัดนี้ สร้างเสร็จครบ ๘๐ บาทพอดี บ้านทายกชื่อโยมเล็ก สุขสายพงศ์ ปีเดียวกะตาปุ่นอายุ ๗๘ ต้องมาพักบ้านนี้อาศัยข้าวบ้านนี้ทาน ตอนนั้นโรงครัวไม่มี บ้านอยู่ข้างวัด เริ่มทำกรรมฐานหมดเงิน ๘๐ บาท พอดี ไม่เกิน ไม่ขาด ในเวลาต่อมา

              พอสร้างเสร็จเขาก็กลับบ้าน กลับไปแล้ว อาตมาตามไปดูบ้าน ทองก็ได้เห็นขอจับดูด้วย หลังจากนั้น ตาปุ่นเริ่มเป็นอัมพาตต้องป้อนข้าว ป้อนน้ำ เช็ดก้น ก็ได้นางสอิ้งปรนนิบัติ เมียใหม่ก็ไม่ได้ทำอะไร อยู่คนละหลัง ก็ปฏิบัติได้อย่างดีมาก ทั้งๆที่ สาวกะตาแก่คนนี้ แม่สอิ้งอีก ๕ ปี ครบ ๒๐ ปีตามสัญญาในเมืองมนุษย์

             อาตมาก็ติดตามสรุปแล้วได้ความว่าพออายุ ๒๐ ปีพอดี ตาปุ่นยังไม่ตาย เป็นอัมพาต นางสอิ้งก็ปฏิบัติเรียบร้อยดีทุกอย่าง พอดีวันนั้นทำกับข้าวไปวัด พอเสร็จแล้ว นางสอิ้งก็ฟุบลงไปตายคาที่อายุ  ๒๐ ปีบริบูรณ์ อาตมายังไปเผา

             เรื่องนี้เป็นความจริงพอนางสอิ้งตาย ตาปุ่นก็ ๘๐ กว่าปีแล้ว เผานางสอิ้งเรียบร้อยก็ตาปุ่นตาย อีก ๒ ปี เมียใหม่ก็ตายหมด บัดนี้บ้านก็แยกย้ายกันไป เมื่อเร็วๆนี้ อาตมาไปเทศน์ที่ตำบลท่าตะโก ยังมีคนยังรับรู้อยู่อีกคนอายุ ๙๑ ปี เจ้าคณะอำเภอเก่า พระครูนิพันธรรมคุต ท่านก็มรณภาพไปนานแล้ว

           เรื่องนี้ชี้ให้เห็นได้ว่า หญิง ๒ ร่าง นาง ๒ ชาติ บาปกรรมหนักหนา แล้วเมืองนรกก็มีการสวดมนต์ไหว้พระ นางสอิ้งก็ถึงแก่ความตายตามสัญญา ๒๐ ปีพอดี วัดนี้ก็ได้ กุฏิกรรมฐานของแม่สอิ้ง อาตมาก็กลัวเกรงไปว่า บาปกรรมจะติดพันมา เดี๋ยวจะให้อภัยโทษไม่ได้เลยสร้างกุฏิกรรมฐานเป็นการใหญ่ สร้างเป็นห้องแถวให้ท่านพัก บอกลูกหลานไว้ด้วยว่าอยากปัญญาดีมั๊ย ขัดส้วมรับรองปัญญาดีทุกคน ไม่ใช่เรื่องโกหก อาตมาไปซื้อบานประตูหน้าต่างจากกำแพงเพชร ไปเจอเด็กคนหนึ่ง บอกหลวงพ่อหลานคนนี้หัวไม่เอาไหนเลย สอบตกอยู่เรื่อยอยากจะเรียนหนังสือ ทำไงจะมีปัญญา  บอกว่ามาบวชเณรที่นี่ พอบวชแล้วเณรขัดส้วม บอกผมอยู่ที่บ้านไม่เคยขัด ตื่น ๘​โมงเช้า ใครหาข้าวให้กิน บอกแม่ ก็ขัดส้วมขัดไปขัดมาก็รักความสะอาด อยู่มาได้หน่อยสึกแล้วไปเรียนหนังสือต่อ เรียนไปเรียนมากลายเป็นผู้พิพากษาไป สอบได้ที่หนึ่งเลย นี่ขัดส้วม.......


https://www.amphawan.net/กฎแห่งกรรม-เล่ม-๑/หญิงสองร่างนางสองชาติ/





           



           https://www.youtube.com/watch?v=rlSk9cg0ul0




https://www.youtube.com/watch?v=1NknNMnNKWw





https://www.amphawan.net/สื่อธรรมะ/หนังสือกฎแห่งกรรม/

หนังสือธรรมะโดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม    รวบรวมหลักธรรมคำสอน หลักการปฏิบัติธรรม และกฏแห่งกรรมจากประสบการณ์ของผู้ปฏิบัติ