เรื่อง ธรรมปฏิบัติ โดย พระราชสังวรญาณ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
🙏🙏🙏
วัดป่าสาละวัน จังหวัด นครราชสีมา
วัดพุธที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๕ เวลา ๑๔.๐๐ ๑๖.๐๐ น.
ณ. ห้องประชุมการแพทย์ ชั้น ๔ ตึกกรมการแพทย์
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เทศน์ - ตอบปัญหาธรรม... 20-10-2525
พระพุทธองค์ได้พิจารณาสภาวะธรรม หมายถึง กายกับใจ ของพระองค์เอง และพิจารณาความไม่เที่ยงความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนของสภาวะธรรมทั้งปวง จนพระองค์สามรถรู้ข้อเท็จจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปตามกฏธรรมชาติ กฏธรรมชาติที่จะพึงเป็นไปของสภาวะธรรมนั้น ก็คือความปรากฏการณ์ขึ้นในเบื้องต้น ทรงตัวอยู่ชั่วขณะหนึ่งในที่สุดต้องสลายตัว ในเมื่อสิ่งนั้นมีอันเป็นไปอยู่อย่างนั้น ใครจะพอใจก็ตาม ไม่พอใจก็ตาม จะห้ามก็ตามไม่ห้ามก็ตาม กฏธรรมชาติอันนี้ย่อมเป็นไปตามกฏของความเป็นจริง ใครจะคัดค้านไม่ได้
ทีนี้กฏธรรมาชาติที่เค๊าเป็นไป ตามกฏความจริงของเค๊านั้น แล้วมันมาทำให้คนเราต้องเป็นทุกข์ได้อย่างไร ที่มาทำให้คนเราต้องเป็นทุกข์ได้ก็เพราะเหตุว่า เราไปฝืนกฏธรรมชาติ เพราะเรายังไม่รู้แจ้งเห็นจริง จึงไปนึกปรารถนาสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ ตามความต้องการ เช่น ความแก่ ใครก็ไม่ชอบ ความเจ็บใครก็ไม่ชอบ ความตายใครก็ไม่ชอบ ความวิบัติต่างๆ นานา ใครๆ ก็ไม่ชอบ แต่เสร็จแล้วเค๊าก็เป็นไป ตามกฏธรรมชาติของเค๊า ในเมื่อเรายังมีความยึดมั่นถือมั่นด้วยอำนาจกิเลส ด้วยอุปาทาน เราจะไปหักห้ามสิ่งเหล่านั้น ไม่ให้เค๊าเป็นไปตามกฏธรรมชาติของเค๊านั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ ถ้าหากเราไปฝืนเมื่อไหร่ ความทุกข์ย่อมเกิดขึ้นเมื่อนั้น เช่น ความแก่เกิดขึ้นมา เราไม่อยากแก่ เราก็ทุกข์ ความเจ็บมาถึง เราไม่อยากเจ็บเราก็ทุกข์ หรือเจ็บแล้วอยากหาย หายไม่ทันใจเราก็ทุกข์ ยิ่งความตายเข้ามาถึงแล้ว เราก็ยิ่งทุกข์กันใหญ่ เพราะเรากลัวตาย ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเหตุว่าเราฝืนกฏของธรรมชาติ
ทีนี้พระองค์มาพิจารณารู้ซึ้งเห็นจริงในกฏของธรรมชาติ จิตของพระองค์ยอมรับสภาพความเป็นจริงของกฏธรรมชาตินั้นๆ อย่างซึ้งถึงจิตถึงใจ จนไม่สามารถที่จะถอนมาเป็น ไม่ยอมรับได้ ที่เรียกว่ายอมรับอย่างจริงๆ แล้วไม่ยอมปฏิเสธอีกต่อไป พระองค์จึงได้บรรลุถึงซึ่งความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะความรู้จริงตามกฏของธรรมชาติ อันนี้เป็นเรื่องความเป็นมาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นในฐานะที่ท่านทั้งหลายก็เป็นผู้สนใจ
ในการที่จะปฏิบัติธรรม พิจารณาธรรม ให้รู้แจ้งเห็นจริงตามกฏของธรรมชาติ อาตมะจึงจะนำหลักการ ในเบื้องต้นมาเสนอแนะพอเป็นแนวทางพิจารณา ตามอารักขกรรมฐาน ๔ คือมีพุทธานุสติ การระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า แล้วก็มีการเจริญเมตตา มีอสุภะกรรมฐาน การพิจารณากายให้เห็นเป็นของปฏิกูลน่าเกลียดโสโครก มรณะสติระลึกถึงความตาย คือพิจารณาความตายของคนอื่น สัตว์อื่น และของตนเอง อันนี้เป็นอารักขกรรมฐาน เป็นกรรมฐานที่พุทธศาสนิกชนผู้ซึ่งตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อรู้แจ้งเห็นจริงในธรรม ควรจะยึดถือเป็นหลักแห่งการปฏิบัติ พุทธานุสติ การระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าประการต้นนั้น ทำไมเราจึงระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า คำตอบก็คือว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระบรมศาสดาของเรา
นอกจากจะเป็นพระบรมศาสดาของเราแล้ว พระองค์ยังเป็นบุคคลตัวอย่าง เป็นบุคคลตัวอย่างแห่งความเป็นผู้เสียสละ พระองค์เป็นบุคคลผู้เป็นตัวอย่างแห่งการละความชั่ว ประพฤษความดี และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ สะอาด ซึงสรุปรวมลงในพระคุณอันใหญ่ ๓ ประการ คือ ๑.พระปัญญาคุณ พระพุทธเจ้าเป็นผู้มีปัญญา รู้ดี รู้ชอบ ด้วยพระองค์เอง คือ รู้อริยสัจจธรรมทั้ง ๔ ได้แก่ทุกข์ สมุทัย นิโรจ มรรค อันนี้เป็นพระปัญญาคุณ เป็นตัวอย่างแห่งบุคคลผู้มีปัญญาอันเลิศ พระพุทธเจ้าเป็นผู้มีพระกมลสันดานอันบริสุทธิ์สะอาด ปราศจากกิเลส อาสวะน้อยใหญ่ทั้งหลายทั้งปวง กิเลสแม้เถ้าธุลีไม่มีเหลือติดอยู่ในพระทัยของพระองค์แล้ว พระองค์จึงเป็นผู้ถึงซึ่งความบริสุทธิ์สะอาด โดยสิ้นเชิง อันนี้พระองค์เป็นตัวอย่างแห่งบุคคลผู้มีความบริสุทธิ์ พระองค์เป็นผู้มีพระทัยประกอบด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ สุ่สละความทุกข์ยากลำบากเหน็ดเหนื่อยส่วนพระองค์ แสดงพระธรรมเทศนาโปรดเวไนยสัตว์ ให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์และไม่ใช่ประโยชน์ จนกระทั่งให้บรรลุมรรคผลนิพพาล
อันนี้เป็นตัวอย่างแห่งบุคคลผู้ทรงไว้ซึ่งพระมหากรุณาธิคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระมหากรุณาธิคุณนั้น แม้ว่าพระองค์จะทรงทราบว่าเวไนยสัตว์ ผู้ควรรับพระธรรมเทศนาจะอยู่ใกล้ ไกล สักปานใดก็ตาม ก็ทรงอุตสาห์เสด็จไปเทศนาโปรด ให้เขาตั้งอยู่ใน มรรค ผล นิพพาน อันนี้ก็เป็นตัวอย่างแห่งบุคคลผู้มีมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่
ทีนี้เราจะมารำลึกถึงพระคุณของพระองค์ เพื่อจะน้อมเอาพระคุณนั้น ๆ เข้ามาอยู่ในจิตในใจของเรา เราจะทำอย่างไร
บัดนี้มาถึงวิธีการที่จะปฏิบัติแล้ว กันแล้ว พระโบราณาจารย์ท่านกล่าวว่า ผู้ที่จะมาปฏิบัติธรรมเพื่อให้บรรลุถึงความเป็นพุทธะในจิตในใจของตนเองนั้น เริ่มต้นด้วยวิธีการ คือการไหว้พระสวดมนต์ แล้วก็เจริญเมตตา ซึ่งการไหว้พระสวดมนต์นั้น ท่านทั้งหลายก็ย่อมเคยปฏิบัติกันอยู่แล้ว และการเจริญพรหมวิหารนั้นก็เข้าใจว่า คงกระทำในกิจวัตรประจำวัน
ทีนี้ตามแบบฉบับ ในเมื่อเราทำกิจในเบื้องต้นเสร็จแล้ว มานั่งขัดสมาธิ เอาขาขวาวางทับขาซ้าย มือขวา วางทับมือ ซ้าย ลงบนตัก ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติ ให้มั่น กำหนดรู้ลงที่จิตของเรา นึกในใจว่าพระพุทธเจ้าก็อยู่ในจิต พระธรรมก็อยู่ในจิต พระอริยสงฆ์ ก็อยู่ในจิต แล้วก็นึกในใจว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ, ๓ ครั้งแล้ว ก็มากำหนดนึกสำรวมเอาคำเดียวคือพุทโธ พุทโธ พุทโธ ไว้ที่ใจ
หรือบางท่านอาจจะนึกพุทพร้อมกับลมเข้า โธพร้อมกับลมออกก็ได้ แล้วแต่สะดวก ทีนี้ถ้าหากว่าการนึกว่าพุทพร้อมลมเข้า โธพร้อมลมออกนั้น จังหวะแห่งการหายใจอาจจะห่างไป จิตยังมีช่องว่างที่จะส่งกระแสออกไปในทางอื่น ก็ให้ปล่อยลมหายใจเสีย แล้วให้นึกพุทโธ เร็วๆ เข้า พุทโธ พุทโธ พุทโธ เร็วๆ จนไม่มีช่องว่าง การนึกพุทโธ ในขณะที่เรานึกอยู่นั้น อย่าไปบังคับจิต เพียงแต่ให้รู้ว่าจิตของเราสัมผัสกับพุทโธ ไม่ขาดระยะ นึกอยู่อย่างนั้นแหล่ะ และก็ไม่ต้องไปนึกว่าเมื่อไหร่จิตจะสงบ เมื่อไหร่จิตจะสว่าง เมื่อไรจะรู้เมื่อไรจะเห็น ไม่ต้องนึกทั้งนั้น รู้หรือไม่รู้ เห็นหรือไม่เห็น สงบ หรือไม่สงบ เป็นเรื่องของจิตที่จะเป็นไปเอง
ในเมื่อมีการนึกพุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ ไม่ขาด นึกอยู่อย่างนั้น ในเมื่อถึงกาลถึงเวลาพอสมควรแล้วจิตจะสงบลงไปเอง ในตอนแรกๆนี้ ถ้าหากว่ามีอาการเคลิ้ม ๆ เหมือนกับจะง่วงนอน นั่นส่อแสดงว่าจิตกำลังเริ่มจะสงบลงไปแล้ว ให้เร่งบริกรรมภาวนาเข้า ภาวนาเบาๆ ให้นึกพุทโธ พุทโธ พุทโธ เบาๆ อย่าให้มีอาการ กดและข่ม ความรู้สึกหรือประสาทในร่างกายส่วนใด ส่วนหนึ่ง พยายามทำให้สบายที่สุด ทั้งกายและใจ นึกอยู่อย่างนั้น จนกว่าจะถึงเวลาอันสมควร
ทีนี้ถ้าหากว่าจิตมีอาการเคลิ้มๆ ลงไป คำนึกว่าพุทโธ พุทโธ ซึ่งเรียกว่าบริกรรมภาวนานั้น เมื่อจิตมีอาการเคลื้มลงไปเกิดสว่างขึ้นมาเพียงเล็กน้อย แล้วรู้สึกว่า คำว่าพุทโธจะหายไป ในเมื่อพุทโธหายไปเช่นนั้นแล้ว ให้ผู้ปฏิบัติกำหนดรู้อยู่ที่จิตอย่างเดียว หรือมิฉะนั้นก็น้อมจิตไปสู่ลมหายใจเข้า หายใจออก กำหนดรู้ที่ลมหายใจเข้า หายใจออกแทนคำว่าพุทโธ
กำหนดรู้อยู่ที่ลมหายใจอย่างนั้น ในขณะที่จิตกับบริกรรมภาวนาก็ดี หรือจิตกับลมหายใจเข้าออกมีความสัมผัสกันโดยไม่ขาดระยะก็ดี บางทีอาจจะะมีอาการ ตัวสั่นนิดๆ ก็อย่าไปสนใจ บางทีอาการกายเบา เหมือนจะ ลอยขึ้น ก็อย่าไปสนใจ บางทีมีอาการคล้ายๆ กับตัวสูงใหญ่ ขึ้นหรือเล็กลง หรือมีอาการใดๆที่ปรากฏในขณะนั้นๆ ก็ตาม ให้ท่านผู้ปฏิบัติกำหนดรู้ลงที่จิตกับลมหายใจเท่านั้น อย่าไปเอะใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วก็กำหนดรู้อยู่อย่างนั้น จนกว่าจิตจะค่อยสงบละเอียดลงไปทีละน้อย ละน้อย แล้วลมหายใจจะค่อยจางหายไป
ในที่สุดลมหายใจจะหายขาดไป เมื่อลมหายใจหายขาดไปแล้ว กายที่ปรากฏอยู่ก็หายไปด้วย ในเมื่อกายหายไปแล้ว จิตจะสงบนิ่ง เด่น มีความสว่าง ไสว รู้อยู่ที่จิตอย่างเดียว ร่างกายไม่ปรากฏแล้วในตอนนี้ ลมหายใจก็หายไปหมดแล้ว ยังเหลือแต่จิตดวงเดียวล้วนๆ สว่างไสวอยู่อย่างงั้น อันนี้เรียกว่าจิตถึงอัปปนาสมาธิ
จิตถึงอัปปนาสมาธิ ในขั้นนี้ ท่านเรียกว่าปฐมจิต ปฐมวิญญาณ มโนธาตุ เป็นแต่เพียงจิตสงบเข้าไปสู่สภาวะเป็นเดิมของจิต ที่ยังไม่ส่งกระแสออกมารับรู้อารมณ์ภายนอก แม้ว่าจิตในขั้นนี้ จะยังใช้การอะไรไม่ได้ก็ตาม ให้ผู้ปฏิบัติพยายามเพียรพยายามทำให้ได้อย่างนี้บ่อยๆ เข้า แล้วจิตจะค่อยเพิ่มพลังขึ้นมาเอง การทำสมาธฺิก็จะมีความคล่องแคล่ว ชำนิชำนาญ ในตอนนี้ถ้าหากท่านจะมีข้อสงสัยว่า เมื่อจิตสงบนิ่งลงเป็นอัปปนาสมาธฺิ จนตัวไม่ปรากฏ ลมหายใจไม่ปรากฏ จิตก็จะไปติดอยู่ในสมาถะ ไม่เกิดความรู้อันใดขึ้นมา บางท่านอาจจะสงสัยอย่างนี้ ความจริงนั้นเมื่อจิตอยู่ในอัปปนาสมาธิในขั้นนี้ จิตย่อมไม่มีสิ่งรู้ ไม่มีสิ่งเห็น มีแต่จิตดวงเดียวล้วนๆที่ใสสะอาดบริสุทธิอยู่เท่านั้น อันนี้จิตอยู่ในขั้นสมาถะย่อมไม่มีภูมิความรู้เกิดขึ้น
ถ้าหากสมมุติว่าผู้ปฏิบัติแล้วจิตเป็นอย่างนี้บ่อยๆ แล้วจะเกิดปัญญาความรู้ขึ้นมาได้อย่างไร
อันนี้เป็นปัญหาที่นักปฏิบัติจะต้องทำความเข้าใจ แต่อาตมะขอให้ข้อสังเกตุว่า เมื่อจิตสงบนิ่งเป็นอัปปนาสมาธิ ในขั้นสมาถะบ่อยๆ เข้า ก็จะกลายเป็นพื้นฐานการสร้างความมั่นคงของจิต ในเมื่อจิตมีสมาธิอันมั่นคง สติก็ย่อมมีความมั่นคงขึ้นเป็นเงาตามตัว
ทีนี้เมื่อจิตถอนออกมาจากความสงบนิ่งอย่างนี้ เมื่อเกิดความคิดขึ้นมาเท่านั้น ถ้าจิตมีสติมีสมาธิมีพลังเพียงพอ จิตก็จะตามรู้ความคิดนั้นไป ความคิดเกิดขึ้นมาอย่างไร จิตก็จะรู้ รู้ตามรู้ไปเรื่อย นี่ปัญญามันจะเกิดขึ้นที่ตรงนี้ ถ้าหากว่าผู้ปฏิบัตินั้น เมื่อจิตถอนออกมาจากอัปปนาสมาธิแล้ว ก็เลิกจากการกำหนดจิตเลยทีเดียว ถ้าปล่อยทำอย่างนี้เรื่อยๆ ปัญญามันก็ไม่เกิด เพื่อจะให้ปัญญาเกิด เมื่อจิตถอนออกมาจากอัปนาสมาธิ พอมาเกิดความคิดขึ้นมาเท่านั้น ให้กำหนดตามรู้ความคิดนั้นไป อย่าไปปล่อย อย่าไปละโอกาส แม้ว่าจิตจะถอนออกมาโดยไม่มีพลังแห่งสมาธิเหลืออยู่ก็ตาม ให้กำหนดตามความคิดนั้นไปเรื่อยๆ จิตคิดอะไรขึ้นมาก็รู้ คิดอะไรขึ้นมาก็รู้ เพียงแต่รู้เฉยๆ อย่าไปช่วยวิพากวิจารณ์ใดๆทั้งสิ้น แล้วเมื่อปฏิบัติอย่างนี้ ปัญญาของผู้ปฏิบัติจะค่อยเกิดขึ้นมาเอง เพราะสิ่งที่เรียกว่าปัญญานั้นก็หมายถึงความคิดที่เราเคยคิดแล้วมันทำความวุ่นวายให้เราเมื่อก่อนนั่นเอง แต่เมื่อเราผ่านการทำสมาธิบ่อยๆ เข้า จนจิตมีพลังสมาธิ มีพลังแห่งสติมั่นคง ความคิดที่วุ่นวายทั้งหลายเมื่อก่อนนั้น จะกลายเป็นเครื่องรู้ของจิต จะเป็นเครื่องระลึกของสติ เป็นฐานที่ตั้งของจิต เป็นฐานที่ตั้งของสติ เมื่อผู้ปฏิบัติตั้งใจกำหนดตามรู้ความคิดของตัวเองที่เกิดขึ้นนั้น. โดยไม่ปล่อยโอกาสให้ผ่านไปเฉยๆ ในเมื่อจิตมีเครื่องรู้ สติมีเครื่องระลึกจะทำให้สติตัวนี้มีพลังแก่กล้าขึ้นเป็นมหาสติ ในเมื่อสติตัวนี้มีพลังแก่กล้าขึ้นมหาสติ สติตัวนี้จะกลายเป็นสตินทรีย์ เรียกว่าสติเป็นอินทรีย์ เป็นใหญ่ในธรรมทั้งปวง เมื่อมีความคิดอันใดเกิดขึ้น เพราะอาศัยสติเป็นใหญ่นั่นเอง สติจะค่อยจ้องมองตามระยะแห่งความคิดไปเรื่อย
ทีนี้ความคิดที่เกิดขึ้นและสติเป็นผู้คอยควบคุมอยู่นั้น ในเมื่อจิตคิดอะไรขึ้นมา จะมีอาการสักแต่ว่าคิด คิดแล้วก็ปล่อยวางไป ไม่ยึดถึอในสิ่งใดๆทั้งสิ้น และในโอกาสต่อไปนอกจากเวลาที่เราตั้งใจปฏิบัติด้วยการนั่งสมาธิหลับหูหลับตา เวลาเราไปทำงานทำการ สติตัวนี้จะกลายเป็นอุปกรณ์แห่งการทำงานได้เป็นอย่างดี เพราะผู้ภาวนานั้นจะถือว่างานในหน้าที่ของเรานั้น เป็นเครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่องระลึกของสติ ต่อไปแม้ว่าการยืนเดินนั่งนอนกินดื่มทำพูดคิด เราทำสติตามรู้อยู่ตลอดเวลา ในเมื่อเป็นเช่นนั้น การปฏิบัติธรรม การปฏิบัติสมาธิ ของเราก็มีได้ตลอดเวลา นี่คือผลที่จะพึงเกิดขึ้นจากการบริกรรมภาวนา จริงอยู่ในเมื่อเราพูดกันตามหลักวิชา พุทธานุสติเป็นอารมณ์ของสมาถะกรรมฐาน ทีนี้บางท่านกล่าวว่า การภาวนาพุทโธนั้น จิตสงบลงได้เพียงแค่ สมาถะกรรมฐานเท่านั้น แต่โดยข้อเท็จจริง ที่ได้ทดสอบกันมาแล้ว การบริกรรมภาวนาทุกอย่าง จิตสงบลงไปเพียงแค่อุปจาระสมาธิ คำบริกรรมภาวนานั้นหายไป ในเมื่อคำบริกรรมภาวนาหายไป ผู้ฉลาดในการปฏิบัติมีทางที่จะพึงปฏิบัติได้ในสองแง่
แง่หนึ่ง, น้อมเอาจิตนั้นไปเพ่งพิจารณาอาการ ๓๒ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น พิจารณาไปในแง่แห่ง อสุภะ คือความไม่สวย ไม่งาม ปฏิกูล น่าเกลียด โสโครก ทั้งปัจจุบัน ทั้งที่ถึงแก่ความตายไปแล้ว โดยน้อมนึกพิจารณาเอาว่า ผม ก็เป็นของปฏิกูล ขน ก็เป็นของปฏิกูล เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ก็เป็นของปฏิกูล น่าเกลียด โสโครก เป็นอุบายที่ให้จิตใจของเราน้อมเชื่อลงไปว่า เป็นอย่างนั้นจริงๆ พิจารณาทบทวนอยู่อย่างนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกท่านทั้งหลายเคยเรียนวิชาแพทย์มาแล้ว
การพิจารณาอสุภะกรรมฐานนี้เป็นของง่าย ที่ว่าให้พิจารณา ผม ขน เล็บฟันหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก นั้น ตามหลักของอาการ ๓๒ หรือกายคตาสติ อันนี้ท่านเขียนไว้เป็นตำหรับ ตำรา ท่านผู้ใดสมัครใจที่จะพิจารณา อสุภะกรรมฐาน ท่านอาจจะน้อมนึกถึงอดีต ที่ท่านเคยเรียนวิชาแพทย์มา ท่านเคยผ่าศพมาพิสูจน์ ผ่าตับไต ไส้พุงอะไรต่างๆ ที่มีอยู่ในกายของมนุษย์นี้ ที่ท่านหยิบมาด้วยมือ แล้วก็ดูด้วยตา รู้ด้วยใจ น้อมเอาอดีต สัญญาอันนั้นแหล่ะมาพิจารณาเป็นอารมณ์ของกรรมฐาน ซึ่งบางท่าน เคยแนะนำให้พิจารณาอสุภะกรรมฐาน ท่านก็บอกว่าหลับตาลงเดี๋ยวนี้ก็มองเห็นเดี๋ยวนี้ เพราะว่าเคยเล่นมาซะจนแหลกละเอียดมาแล้ว แต่อันนั้นมันเป็นเรื่องสัญญา ทีนี้เราเอาเรื่องสัญญาอดีตของเราที่เคยเรียนผ่านมานั่นแหล่ะ มาพิจารณา เป็นอารมณ์กรรมฐาน พิจารณาไปเช่น อย่างสมมุติว่า เราอาจจะพิจารณาว่าหัวใจมีลักษณะอย่างไร มีหน้าที่อย่างไร ตามที่ท่านเคยเรียนมานั่นแหล่ะ เพ่งลงไป ให้มันมองเห็นด้วยจิตด้วยใจกันจริงๆ ในตอนแรกๆเนี่ย เราอาศัยสัญญาที่เคยเรียนมานั้น น้อมนึกเป็นแนวทางเอาไว้ก่อนในเมื่อท่านพิจารณาลงไปพอแน่ใจว่า พอเกิดแต่ความเชื่อในใจว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถึงจิตของท่านจะไม่เชื่อก็ตาม เพราะท่านก็เคยรู้เคยเห็นมาแล้ว มันเป็นของง่าย พอหลังจากนั้น ท่านอาจจะกำหนดบริกรรมภาวนาอันใดอันหนึ่งลงไปเช่นพุทโธ พุทโธ พุทโธ เป็นต้น เมื่อจิตของท่านสงบลง ไปแล้ว ท่านจะมองเห็นสิ่งที่ท่านพิจาณานั้น เป็นนิมิตรขึ้นมา ภายในจิตในใจ อาตมะว่าเป็นการง่ายที่สุดสำหรับการเจริญอสุภะกรรมฐาน ของบรรดานายแพทย์ทั้งหลายที่เคยเรียนมาแล้ว
ทีนี้ในเมื่อท่านพิจารณาเรื่องอวัยวะต่างๆ ซึ่งมีภายในกาย ที่ท่านเรียนผ่านมาแล้วนี่ จนกระทั่งจิตของท่านสามารถรู้ซึ้ง เห็นจริง ลงไป จนจิตสงบลงไปแล้ว เกิดเป็นนิมิตรขึ้นมาในความรู้สึก ภายในจิตอยู่ในลักษณะท่าที ที่สงบนิ่ง เป็นสมาธิ ในขั้นต้นนี่ ในเมื่อท่านเกิดนิมิตร ความรู้เห็นขึ้นมา อาจจะมีลักษณะคล้ายๆ กับว่ามองเห็นด้วยตา แล้วก็รู้ด้วยใจ นี่เป็นนิมิตรเบื้องต้นที่จะพึงเกิดขึ้น ทีนี้เมื่อจิตสงบละเอียดลงไปกันจริงๆ แล้ว จนกระทั่งท่านรู้สึกว่าจิตของท่านยังเหลือแต่จิตล้วนๆ ร่างกายไม่ปรากฏในความรู้สึก และการมองเห็นนิมิตรนั้นจะรู้สึกว่าเห็นด้วยใจล้วนๆ โดยไม่มีประสาททางกายเจือปนแม้แต่ประการใด
ทีนี้ถ้าหากสมมุติว่าท่านสามารถทำได้ดังที่ได้กล่าวมานี้จะเป็นอุปกรณ์ในการพยาบาลรักษาคนไข้ได้อย่างดีวิเศษที่สุด ทีนี้อสุภะกรรมฐานเนี่ย เป็นอุปกรณ์แก่การรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้อย่างไร ในช่วงต่อไปนี้ อาตมะจะได้ขอนำเรื่องส่วนตัวมาเล่าสู่ท่านทั้งหลายฟัง ในสมัยเมื่ออายุ ๒๒ ปี อาตมะป่วยเป็นวัณโรค ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยาที่จะรักษาโรควัณโรคนั้นยังไม่มี ยังไม่มีใครรับรองว่า รักษาวัณโรคหาย ทีนี้พอดีท่านอาจารย์ฝั้น ท่านมาจำพรรษาด้วย อยู่ที่วัดบูรพาเมืองอุบล ท่านก็มาแนะนำให้พิจารณาอาการ ๓๒ คือผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก นี่แหล่ะ ทีแรกก็ใช้ความคิดพิจารณา ตามที่เราจำได้ โดยเริ่มต้นว่า
อยังโข เม กาโย กายของเรานี้แล
อุทธัง ปาทะตะลา เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา
อะโธ เกสะ มัตถะกา เบื้องตำ่แต่ปลายผมลงไป
ตะจะปะริยันโต มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ
ปูโร นานัปปะการัสสะ อะสุจิโน เต็มไปด้วยของไม่สะอาด มีประการต่างๆ
อัตถิ อิมัสมิง กาเย มีอยู่ในกายนี้
เกศา คือผมทั้งหลาย น้อมจิตนึกไปที่ผม
โลมาคือขนทั้งหลาย น้อมจิตนึกไปที่ขน
นะขาคือเล็บทั้งหลาย น้อมจิต นึกไปที่เล็บ
ทันตาคือฟันทั้งหลาย น้อมจิตนึกไปที่ฟัน
ตะโจ คือหนัง น้อมจิตนึกไปที่หนัง
มังสังคือเนื้อ น้อมจิตนึกไปที่เนื้อ
นะหารุ คือเอ็นทั้งหลาย น้อมจิตนึกไปที่เอ็น
อัฏฐิ คือกระดูกทั้งหลาย น้อมจิตไปที่กระดูก
อัฏฐิมิญชัง คือเหยื่อในกระดูก น้อมจิตนึกไปที่เหยี่อในกระดูก
วักกัง ม้าม น้อมจิตไปที่ม้าม
หะทะยัง หัวใจ น้อมจิตไปที่หัวใจ
ปัปผาสัง ปอด น้อมจิตไปที่ปอด เพราะอุปทานเคยยึดถือว่า วัณโรคเป็นอยู่ที่ปอด พอน้อมไปที่ปอด จิตก็จดจ้องอยู่ที่ปอด ไม่ยอมไปไหน ในที่สุดก็มองเห็นปอดของตัวเองเป็นสีแดงแล้วจิตก็มีความสว่างไสว มองเห็นจุดอยู่ที่ขั้วปอดสองจุด โต ขนาดเหรียญสลึง แล้วก็น้อมเพ่งดู อยู่ที่ปอดนั้นตลอดไป จิตมันก็ยังไม่ยอมไปไหนเหมือนกัน ในตอนแรกๆ มันก็รู้สึกว่า กายก็ยังปรากฏอยู่ ลมหายใจก็ยังปรากฏอยู่ แล้วก็มองเห็นปอดคล้ายๆกับ มองเห็นด้วยสายตาและรู้ด้วยใจ
ในเมื่อจิตเพ่งอยู่ที่ปอดโดยไม่ลดละ จิตก็ค่อยสงบละเอียดลงไป สงบละเอียดลงไป เมื่อจิตสงบละเอียดลงไปจริงๆ แล้ว ปรากฏว่าร่างกายของตัวเองไปนอนแผ่อยู่กับพื้น ความรู้สึกในขณะนั้น เหมือนกับว่าจิตไปลอยเด่นอยู่เหนือร่างกาย สูงประมาณ ๒ เมตร แล้วก็ทอดแสงสว่างลงมาดูกาย
ในตอนนี้ความรู้สึกนึกคิดอะไรไม่มีทั้งนั้น มีแต่จิตรู้เด่นสว่างอยู่อย่างนั้น แต่ทางส่วนกายเนี่ย
เริ่มต้นด้วยการขึ้นอืด แล้วก็น้ำเหลืองไหล เนื้อหนังผุพังไป ตกลงไปทีละชิ้นสองชิ้น ในที่สุดยังเหลืออยู่แต่โครงกระดูก แล้วโครงกระดูกก็หลุดออกจากกัน แล้วก็หักเป็นท่อนน้อย ท่อนใหญ่
ในที่สุดกระดูกก็แหลกละเอียด หายไปกับพื้นดิน มองเห็นผงกระดูกโปรยอยู่บนพื้นดินเหมือนกับขี้เถ้าโปรยอยู่กับกองทราย แล้วอยู่มาอีกขณะหนึ่ง พอผงกระดูกหายลงไปในพื้นแผ่นดิน มองไม่เห็นผงกระดูก ในที่สุดพื้นแผ่นดินที่มองเห็นอยู่นั้นก็หายไปหมด ยังเหลือแต่จิตดวงเดียวเท่านั้น แล้วอีกสักพักหนึ่งแผ่นดินก็ปรากฏขึ้นมาแล้วก็มีผงกระดูก แล้วก็มีกระดูกเป็นท่อนน้อย ท่อนใหญ่ แล้วก็เป็นชิ้นกระดูกกลับคืนมา แล้วก็มาต่อเป็นโครงสร้างมีโครงกระดูกครบถ้วน เนื้อหนังก็ค่อยงอกขึ้นมาตามที่ต่อของกระดูก จนปรากฏว่ามีร่างกายสมบูรณ์ตามเดิม แล้วก็มีอันเป็นไปอยู่อย่างนั้น กลับไปกลับมาไม่รู้กี่ครั้งกี่หน แต่จำได้เพียงแค่ ๓ ครั้งเท่านั้น ความเป็นอันนี้ เริ่มเป็นอยู่ตั้งแต่ตี ๓ แล้วไปรู้สึกตัวต่อเมื่อสองมองเช้า ก่อนที่จะรู้สึกตัวขึ้นมานั้น ดวงจิตที่ลอยเด่นอยู่นั้นมีอาการ ไหวนิดนึง พอไหวแล้วก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า นี่หรือคือความตาย ความรู้สึกอันนึงผุดขึ้นมาตอบว่า ใช่แล้ว พอคำตอบคำว่าใช่แล้วปรากฏขึ้น จิตที่ลอยเด่นอยู่นั้น ก็ลดลงมาปะทะ กับหน้าอกแผ่วๆ แล้วความรู้สึกก็ค่อยรู้สึกทางกายขึ้นมา ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในระยะแรกนั้น คล้ายๆ กับถูกฉีดยาเข้าเส้นอย่างแรง มีอาการวิ่งสู้ไปจนทั่วกาย ทีนี้อาตมะก็กำหนดดูว่า เรานอนอยู่ในท่าไหน หันศรีษะไปทางใด มือเท้าวางไว้อย่างไรกำหนดจิตอย่างไร จึงเป็นอย่างนี้ พอรู้สึกตัว อย่างเต็มที่แล้ว จนหายสงสัยแล้วว่าเราตืนรู้สึกตัวเต็มที่แล้ว ความสงสัยนั้นก็ยังมีอยู่ นึกสงสัยขึ้นมาว่า เอ๊ะ เนี่ยเราตายจริงรึป่าว เลยต้องยกมือขึ้นมาคลำดูหน้าอก พอแน่ใจว่ายังไม่ตายลืมตาขึ้นก็ดูนาฬิกาก็ ๒โมงเช้าพอดี
ทีนี้พอเหตุการณ์อย่างนี้ผ่านไป วัณโรคที่เป็นอยู่นั้น อาเจียรเป็นโลหิตออกมา แล้วก็เป็นน้ำหนองมาอย่างเหม็นเน่า แล้วก็ค่อยๆ จางหายไปทีละน้อย ๆ ในที่สุดเลือดหายขาด หนองที่เคยออกก็หาย ร่างกายก็ค่อยดีขึ้น ๆ จนกระทั่งหาย มาจนกระทั่งบัดนี้
อันนี้ขอให้ท่านทั้งหลายลองพิจารณาดูสิว่า การบำเพ็ญกรรมฐานเนี่ย เกี่ยวกับการพิจารณาอสุภะกรรมฐานเนี่ย
พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก นี่ มีทางพอที่จะ ช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ม๊ย ในฐานะที่ท่านทั้งหลายก็เป็นนายแพทย์ที่เรียนผ่านมาแล้ว แต่อาตมะภาพยืนยันรับรองได้ว่า วัณโรคของอาตมะที่เป็นนั้น หายเพราะการภาวนา เพราะความรู้สภาวะที่เป็นจริงซึ่งเกิดขึ้นในจิตในใจ ทีนี้ผลลัพธ์แห่งความรู้ที่เกิดขึ้นนั้น หลังจากที่ร่างกายสลายไปหมดแล้วยังเหลือแต่จิตอย่างเดียวเมื่อปรากฏมีกายอีกทีหนึ่ง ความรู้สึกมันก็เกิดขึ้นว่าไอ้โรคภัยไข้เจ็บนี้มันเป็นอยู่ที่ร่างกาย ไม่ได้เป็นอยู่ที่ใจ ใจกับกายมันคนละอย่าง กาย เหมือนกับเป็นส่ิงซึ่งเป็นที่อาศัย แต่ว่าใจนั้นอาศัยอยู่ในกาย แต่ผู้เจ็บ ผู้ป่วย ผู้ตายไม่ใช่ใจ ร่างกายต่างหากที่มันเจ็บป่วยตายไป ร่างกายก็เป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวของเรา เพราะฉะนั้นในเมื่อไม่มีตัวมีตน มีแต่จิตดวงเดียวแล้วความเจ็บไข้ได้ป่วยมันจะมีมาแต่ไหน หลังจากนั้นกำลังใจมันก็เกิดขึ้นอย่างมหาศาล
ถ้าหากว่าบางครั้งมันอาจจะเกิดความรู้สึกเกี่ยวกับความเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ในด้านที่เรียกว่ามันทำให้เกิดทุกข์ใจ มันมักจะมีความคิดเกิดขึ้นมาโต้ตอบว่า ไม่ได้จ้างให้มันมาเกิด ไม่ได้จ้างให้มันมาตาย อยากตายก็เชิญเลย เนี่ยมันท้าทายอย่างนี้ แล้วโรคภัยไข้เจ็บก็หายมาเรื่อยๆมา อันนี้ที่นำมาเล่าเนี่ย ก็เพื่อเป็นแนวทางให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณาว่า การบำเพ็ญสมาถะกรรมฐาน ก็ดีวิปัสสนากรรมฐาน ก็ดี สามารถที่จะช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้หายได้บ้างมั๊ย อันนี้ขอฝากไว้ให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณา
และอีกอย่างหนึ่ง มีท่านอาจารย์องค์หนึ่ง อันเนี่ยก็เป็นตัวอย่าง อีกอันหนึ่งเหมือนกัน ท่านอาจารย์จันทร์ เขมปัตโต ท่านอยู่ที่จังหวัดหนองคาย มีพระรูปหนึ่ง เจ็บปวดในท้องไม่หายสักที รักษาอย่างงัยก็ไม่หาย อยู่มาวันหนึ่ง ท่านก็จับพระ องค์นั้นมานั่งด้านหน้าท่าน ไหนมาดูดิ จะตรวจโรคให้ ทำไมมันถึงไม่หายสักที เสร็จแล้วท่านก็นั่งเพ่งดูร่างของพระ องค์นั้น อีกสักพักหนึ่งท่านก็บอกว่า มันจะไม่เจ็บไม่ปวดได้อย่างไร คุณกินเบ็ดเข้าไปตั้งคัน มันเกาะอยู่ที่ผนังกระเพาะ ไปให้หมอเอาออกให้ซะแล้วมันก็จะหาย พระองค์นั้นก็เข้าโรงพยาบาล หมอฉายเอ๊กซเรย์ ผ่าเอาเบ็ดออก แล้วโรคมันก็หาย อันนี้การทำสมาธิ สามารถที่จะตรวจโรคได้ คุณหมอซึ่งเป็นลูกศิษย์อัตมะภาพอยู่ที่นครราชสีมาก็เคยเล่าให้ฟัง การทำสมาธิ ภาวนา พุทโธ พุทโธ พุทโธตามที่หลวงพ่อบอกนั้นน่ะ จิตของหนูไม่เคยสงบนิ่ง สว่าง เป็นสมาธิ สักที แต่ว่ามันแปลกอยู่อย่างหนึ่ง เวลาตรวจโรค พอจับเครื่องฟังเข้ามา สวมเข้าหูเท่านั้น จิตมันวูปไปปะทะร่างคนไข้ แล้วมันก็รายงานออกมาได้ว่า เค๊าเป็นโรคอย่างนั้น ควรจะให้ยาอย่างนั้น ในเมื่อไปตรวจดูจริงๆ แล้วมันก็ถูกต้อง แล้วเค๊าถามว่าเป็นเพราะผลแห่งการทำสมาธิหรือเปล่า อาตมาก็บอกว่าให้คุณพิจารณาเอาเอง อาตมาไม่ตัดสินให้หรอก ให้ทดสอบกันไปเรื่อยๆ เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงว่ามันจะเป็นจริงได้ไหม
ที่นำมาเล่าสู่บรรดาท่านทั้งหลายฟังเนี่ย ก็เพื่อจะให้ท่านทั้งหลายได้ช่วยพิจารณาว่าการทำสมาธิคือการสร้างพลังจิต พลังจิตนี้เราสามารถที่จะเอาไปใช้ประโยชน์เกี่ยวกับการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ หรือเทคโนโลยีต่างๆ ในสมัยปัจจุบันนี้ได้มั๊ย. อาตมะก็ไม่ได้เรียนไม่ได้อ่านนั้น แต่ในเรื่องส่วนตัวนี้ เชื่อมั่นเหลือเกินว่า โรคภัยไข้เจ็บที่เคยผ่าน เคยเป็นผ่านมาแล้วเนี่ย รักษาด้วยพลังแห่งสมาธิ
ทีนี้การใช้พลังจิตหรือพลังแห่งสมาธินั้น อาตมะภาพก็เคยทดลองดู ท่านอาจารย์ฝั้นท่านว่าการพิจารณาอาการ ๓๒ เนี่ย เป็นการเพ่งกะสิน การเพ่งกะสินภายใน คือเพ่ง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น เป็นฐานที่สร้างพลังทางจิต คือทำให้สติ นั้น กลายเป็นมหาสติขึ้นมา
จะด้วยประการใดก็ตามการทำสมาธินั้นจุดมุ่งหมายอยู่ตรงที่ว่า ต้องการให้จิตสงบเป็นสมาธิ และเพื่อให้รู้สภาพความเป็นจริงของจิตดั้งเดิม ที่ยังไม่รับรู้อารมณ์มีลักษณะอย่างไร ในเมื่อออกมารับรู้อารมณ์แล้ว มีลักษณะอย่างไร เราจะได้รู้ข้อเท็จจริงกันที่ตรงนี้ ทีนี้การทำสมาธิเนี่ย สมาธิจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเราหมดความตั้งใจ ถ้าเราภาวนาพุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ ถ้ามีความตั้งใจอยู่ว่าเมื่อไหร่จิตจะสงบ ท่านจะไม่พบกับความสงบ ท่านต้องภาวนาบริกรรมจนลืมไป ลืมนึกถึงผลที่จะบังเกิดขึ้น แล้วจิตของท่านจึงจะสงบลงได้
ทีนี้วิปัสสนาจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราหมดความคิด ในขั้นต้น เราอาจจะยกเอาอันใดอันหนึ่งมาพิจารณาเช่นรูปไม่เที่ยง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อันนี้เราจำเป็นจะต้องเอาความรู้ทางปริยัติ มาคิดพิจารณา เป็นแนวนำ เป็นการปรับปรุงปฏิปทา ทำให้จิตของเราเนี่ย มีความเชื่อตามส่ิงที่เราพิจารณานั้นๆ การพิจารณาอันนี้ก็เป็นอุบายทำให้จิตสงบลงไปได้ เมื่อจิตสงบลงไปแล้ว ความรู้ซึ่งจะเกิดขึ้นโดยอัตตโนมัติย่อมมี ความรู้ที่เกิดขึ้นในขณะที่จิตเป็นอุปจาระสมาธินั้น เป็นความรู้ที่มีชื่อสมมุติบัญญัติเรียกได้ เช่นอย่างรู้เรื่องของรูป ก็เรียกรูปได้ เวทนา ก็เรียกเวทนาได้ สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เรียก สัญญา สังขาร วิญญาณได้ อันนี้เป็นความรู้ที่เกิดขึ้นในระดับแห่ง อุปปาจระสมาธิ แต่ถ้าความรู้ที่เกิดขึ้นในระดับแห่งอัปปนาสมาธินั้น มีแต่สิ่งที่ปรากฏการเกิดขึ้น ดับไป เกิดขึ้น ดับไป ไม่มีสมมุติบัญญัติ จะเรียกสิ่งนั้นว่าอะไรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ท่านจึงกล่าวว่า ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา
ทำไมจึงเรียกว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็เพราะไม่มีภาษาที่จะเรียกนั่นเอง ความรู้ที่อยู่ในขั้นโลกีย์ มีภาษา สมมุติบัญญัติเรียกได้ ความรู้ที่อยู่ในขั้นแห่งโลกุตระ ไม่มีภาษาที่จะเรียกสิ่งนั้นว่าอะไรทั้งสิ้น มีแต่ส่ิงที่ปรากฏการณ์ให้รู้ให้เห็น อยู่ มีอยู่ เป็นอยู่ เท่านั้น แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เคยรับสั่งถามอาตมะภาพว่า ธรรมะที่เกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติ แม้ผู้ปฏิบัติไม่สามารถที่จะรู้จักชื่อแห่งธรรมะนั้นได้ จะถือว่าเป็นการใช้ได้มั๊ย ท่านรับสั่งถามอย่างนี้ อาตมาก็ถวายพระพรท่านว่า ขอถวายพระพรพระมหาบพิตร พระราชสมภารเจ้า โดยธรรมชาติของสัจธรรม ซึ่งเกิดขึ้นในจิต ของผู้ปฏิบัติตามความเป็นจริง ย่อมอยู่เหนือสมมุติบัญญัติใดๆ ทั้งสิ้น เราไม่มีภาษาที่จะเรียกสิ่งนั้นว่าอะไร อันนี้คือธรรมชาติของสัจธรรมที่ปรากฏขึ้น พระมหาบพิตร ทรงต้องการหลักฐานมั๊ย พระองค์ก็รับสั่งว่าถ้ามีก็ดี อาตมาก็เลยยกเอา ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ ในท้ายแห่ง ธัมมจักรกัปวัตตนสูตร ที่ท่านอัญญาโกณฑัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรมว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น ธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา แล้วสมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าก็ทรงรับรองว่าท่านอัญญาโกณฑัญญะ เป็นพระโสดาบัน ได้ดวงตาเห็นธรรม นี่คือธรรมะที่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เกี่ยวกับการปฏิบัติในบางส่วน ของผู้ปฏิบัติธรรม ในสายสมถะกรรมฐาน และ วิปัสสนากรรมฐาน อาตมะนำมาเล่าสู่ท่านทั้งหลายฟัง โดยย่นย่อ เข้าใจว่าพอที่จะเป็นคติเตือนใจ
แต่ขอย้ำเตือนอีกอย่างหนึ่งว่า การปฏิบัติธรรมนี้ อย่าไปติดวิธีการให้มากนัก เช่นอย่างอาตมะพูดในตอนต้นว่าการทำสมาธิ ต้องนั่งขัดสมาธิ เอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่น บางท่านอาจจะคิดว่าทำในท่าอื่นไม่ใช่การปฏิบัติสมาธิแล้ว อย่าไปเข้าใจผิด ยืนทำสมาธิได้ นอนทำสมาธิได้ เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำพูด คิด แม้แต่ทำงานอยู่ ทำสมาธิได้ คือทำสติ ตัวเดียวนั่นเอง ทำอะไรก็รู้ ทำอะไรก็รู้ ทำสติตลอดเวลา นั่นแหล่ะคือการทำสมาธิ ใครจะทำในท่าไหนได้ทั้งนั้น เอาละการกล่าวธรรมะพอเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ของท่านผู้ฟังทั้งหลาย ก็เห็นว่าพอสมควรแก่กาละเวลา ถ้าหากมีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง ก็ขออภัยท่านผู้รู้ทั้งหลาย ช่วยพิจารณาด้วย ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
กราบสาธุ สาธุ สาธุ เจ้าค่ะ 🙏🙏🙏
ทวัตติงสาการปาฐะ (อาการ ๓๒ )
(หันทะ มะยัง ทวัตติงสา การะปาฐัง ภะนามะ เส)
อะยัง โข เม กาโย กายของเรานี้แล
อุทธัง ปาทะตะลา เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา
อะโธ เกสะมัตถะกา เบื้องตำ่แต่ปลายผมลงไป
ตะจะปะริยันโต มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ
ปุโร นานัปปะการัสสะ อะสุจิโน เต็มไปด้วยของไม่สะอาด มีประการต่างๆ
อัตถิ อิมัสมิง กาเย มีอยู่ในกายนี้
เกสา คือ ผมทั้งหลาย
โลมา คือ ขนทั้งหลาย
นะขา คือ เล็บทั้งหลาย
ทันตา คือ ฟันทั้งหลาย
ตะโจ หนัง
มังสัง เนื้อ
นะหารู เอ็นทั้งหลาย
อัฏฐิ กระดูกทั้งหลาย
อัฏฐิมิญชัง เยื่อในกระดูก
วักกัง ม้าม
หะทะยัง หัวใจ
ยะกะนัง ตับ
กิโลมะกัง พังผืด
ปิหะกัง ไต
ปัปผาสัง ปอด
อันตัง คือ ไส้ใหญ่
อันตะคุณัง ไส้น้อย
อุทะริยัง อาหารใหม่
กะริสัง อาหารเก่า
ปิตตัง น้ำดี
เสมหัง น้ำเสลด
ปุพโพ น้ำเหลือง
โลหิตัง น้ำเลือด
เสโท น้ำเหงื่อ
เมโท น้ำมันข้น
อัสสุ น้ำตา
วะสา น้ำมันเหลว
เขโฬ น้ำลาย
สิงฆานิกา น้ำมูก
ละสิกา น้ำมันไขข้อ
มุตตัง น้ำมูตร
มัตถะเก มัตถะลุงคัง เยื่อในสมอง
เอวะ มะยัง เม กาโย กายของเรานี้อย่างนี้
อุทธัง ปาทะตะลา เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา
อะโธ เกสะมัตถะกา เบื้องตำ่แต่ปลายผมลงไป
ตะจะปะริยันโต มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ
ปุโร นานัปปะการัสสะ อะสุจิโน เต็มไปด้วยของไม่สะอาด มีประการต่างๆ อย่างนี้แล
http://www.watpamahachai.net/watpamahachai-16.htm
น้อมกราบด้วยเศียรเกล้า น้อมกราบแทบพระบาทในคุณพระศรีรัตนตรัย 🙏🙏🙏 น้อมกราบขอบพระคุณ พระอาจารย์ ที่นำมาเปิดเสียงตามสายในช่วงเช้าตรู่ ที่วัดป่าสาละวัน เพิ่งได้ฟังเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2567 มีความประทับใจมาก ตอนที่ท่านเทศน์เรื่องการทำสมาธิกับการรักษาโรคของพระคุณเจ้า ลูกรู้สึกเป็นบุญที่ได้ฟังท่านเทศน์ น้อมกราบสาธุ เจ้าค่ะ🙏🙏🙏 กราบขอบพระคุณท่านเจ้าของคลิปทางยูทูป ที่ได้นำพระธรรมเทศนา มาเผยแพร่ ให้พุทธศาสนิกชนได้รับฟัง และกราบขออนุญาต นำบางส่วนของคลิปมาแบ่งปัน ให้พุทธศาสนิกชน ท่านใด ที่มีปัญหาสุขภาพ ขอให้อาการของทุกท่านทุเลา และดีขึ้นๆ ๆนะคะ ขอให้ทุกท่านโชคดี และ มีสุขภาพแข็งแรงค่ะ น้อมกราบอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย ได้โปรดประทานพรคุ้มครองทุกท่าน ให้มีอายุ วรรณะ สุขะ โภคะ พละ ยั่งยืนนาน กราบสาธุ สาธุ สาธุ เจ้าค่ะ 🙏🙏🙏 | |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น